ฆเฏสิ ฆเฏสิ กิงการณา ฆเฏสิ อะหังปิ ตัง
ชานามิ ชานามิ.
(คำแปล ท่านเพียรไปเถิด เพียรไปเถิด,
เพราะเหตุไร? ท่านจึงเพียร,
แม้เราก็รู้เหตุนั้นอยู่ รู้อยู่)
ใช้ท่องเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินในบ้าน
ก่อนลั่นกุญแจออกจากบ้านก็ให้ท่องบ่นพระคาถานี้ เมื่อยามค่ำคืนก่อนนอนก็ท่องบ่นมนต์คาถานี้
หากจะเกิดอันตรายขึ้นก็จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากระซิบบอกและช่วยปกป้องให้พ้นจากภยันตรายนาประการแล.
มาจากเรื่อง ธัมมปทัฏฐกถา อัปปมาทวรรค เรื่อง
พระจูฬปันถกเถระ
เรื่องพระจูฬปันถกเถระ มีดังนี้:
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน
ทรงปรารภพระเถระชื่อจูฬปันถก ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 25
นี้
เศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์ผู้หนึ่ง มีหลานชาย 2 คน
คนหนึ่งชื่อ มหาปันถก และอีกคนหนึ่งชื่อ จูฬปันถก
คนที่ชื่อมหาปันถกเป็นพี่ชาย
เคยติดตามท่านเศรษฐีผู้เป็นตาไปฟังพระธรรมเทศนาอยู่บ่อยๆและ
ต่อมาคนที่ชื่อมหาปันถกนี้ก็ได้บวชเป็นพระภิกษุและไม่นานก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ส่วนคนที่ชื่อจูฬปันถกผู้น้องนั้นก็ตามมาบวชเหมือนกัน
แต่เนื่องจากในอดีตชาติเมื่อครั้งพระกัสสปพุทธเจ้าเคยล้อเลียนภิกษุรูปหนึ่งที่ปัญญาทึบ
จึงเกิดมาเป็นคนปัญญาทึบในชาตินี้ จูฬปันถกไม่สามารถจดจำพระคาถาได้แม้แต่พระคาถาเดียวแม้จะใช้เวลาเพียรพยายามจดจำอยู่ถึง
4 เดือน
พระมหาปันถกผู้พี่ชายเกิดความผิดหวังกับน้องชายเป็นอย่างมาก
ถึงกับบอกว่าไม่คู่ควรที่จะบวชเป็นพระอยู่ต่อไป
ในช่วงเดียวกันนั้นเอง
หมอชีวกโกมารภัจได้มาที่วัดเวฬุวันเพื่อนิมนต์พระศาสดาพร้อมกับภิกษุสงฆ์ไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตน พระมหาปันถกซึ่งตอนนั้นทำหน้าที่เป็นพระภัตตุเทศก์
คือทำหน้าที่มอบหมายพระไปฉันตามแหล่งที่นิมนต์ไว้
นั้นได้ขีดฆ่าชื่อของพระจูฬบันถกออกจากบัญชีพระที่จะไปฉันภัตตาหาร
เมื่อพระจูฬปันถกทราบเรื่องนี้ก็รู้สึกเสียใจมาก
และได้ตัดสินใจจะลาเพศไปครองตัวเป็นฆราวาสดังเดิม
พระศาสดาทรงทราบเรื่องนี้ด้วยญาณพิเศษจึงเสด็จมาพาพระจูฬปันถกไปนั่งอยู่ที่หน้าพระคันธกุฎี
จากนั้นพระองค์ได้ประทานผ้าขาวชิ่นหนึ่งให้แก่พระจูฬปันถกแล้วตรัสบอกให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออกแล้วใช้มือถูผ้าชิ้นนั้นอยู่เรื่อยๆ ในขณะที่เอามือถูผ้าชิ่นนั้นก็ให้ภาวนาว่า “รโชหรณํ
ๆๆ” ซึ่งแปลว่า
ผ้าเช็ดธุลี ๆๆ จากนั้นพระองค์ก็ได้เสด็จไปยังเรือนของหมอชีวกโกมารภัจ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย
ในขณะเดียวกันนั้น พระจูฬปันถกก็ได้เอามือถูผ้าขาวชิ้นนั้นๆ
แล้วภาวนาว่า “รโชหรณํ ๆๆๆ” ในไม่ช้าผ้าขาวชิ้นนั้นก็เกิดความสกปรก
เมื่อพระจูฬปันถกเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นกับผ้า ก็รู้แจ้งเห็นจริงว่า
สิ่งทั้งหลายมีความไม่เที่ยง
พระศาสดาทั้งที่ประทับอยู่ที่เรือนของหมอชีวกโกมารภัจทรงทราบความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของพระจุลปันถกโดยพระญาณพิเศษ
จึงได้แผ่รัศมีไปปรากฏพระองค์อยู่เบื้องหน้าพระจุลปันถกตรัสว่า
“มิใช่ว่าจะมีเพียงชิ้นผ้านี้เท่านั้นที่ทำให้สกปรกได้ด้วยฝุ่นธุลี แต่ภายในของคนเราก็ยังมีฝุ่นธุลีคือ ราคะ โทสะ
และโมหะ กล่าวคือ ความไม่รู้ในอริยสัจ 4 โดยการขจัดราคะ โทสะ และโมหะเหล่านี้
ก็จะทำให้บุคคลบรรลุเป้าหมายและบรรลุพระอรหัตตผลได้” พระจุลปันถกฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้วนำมาเพ่งพินิจ
ต่อมาไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ
ด้วยเหตุนี้พระจุลปันถกจึงยุติความเป็นคนปัญญาทึบตั้งแต่นั้น
ส่วนที่เรือนของหมอชีวก
เป็นช่วงเวลาที่คนทั้งหลายกำลังจะรินน้ำทักษิโณทกเป็นสัญญาณการถวายทานอยู่พอดี
แต่พระศาสดาได้เอาพระหัตถ์มาปิดบาตรเอาไว้
และตรัสถามว่าที่วัดยังมีพระตกค้างอยู่หรือไม่
เมื่อได้รับคำทูลตอบว่าไม่มีพระอยู่ที่นั่น
พระศาสดาตรัสว่ายังมีพระอยู่รูปหนึ่ง จึงได้ตรัสบอกคนไปพาพระจุลปันถกมาจากวัด
เมื่อคนคนนั้นออกเดินทางจากเรือนของหมอชีวกโกมารภัจไปถึงที่วัดก็ได้พบพระภิกษุที่รูปร่างเหมือนๆกันอยู่จำนวน
1000 รูป
ภาพนิมิตของพระเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยอานุภาพฤทธิ์ของพระจุลปันถก
คนที่ส่งไปนั้นเกิดความสับสนและได้กลับมารายงานเรื่องนี้ให้หมอชีวกโกมารภัจได้ทราบ
หมอชีวกโกมารภัจได้ส่งคนคนนี้ไปอีกเป็นครั้งที่สอง โดยให้ไปบอกว่าพระศาสดาตรัสเรียกภิกษุที่ชื่อว่าจุลปันถก เมื่อคนคนนี้ไปพูดตามที่บอก
พระทั้งพันรูปนั้นก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “อาตมาคือพระจูฬปันถก
ๆๆๆ” คนไปตามพระเกิดความสับสนขึ้นอีกและได้กลับมารายงานอีกเป็นครั้งที่สอง คราวนี้หมอชีวกโกมารภัจได้ส่งคนไปตามพระนั้นกลับไปที่วัดเป็นครั้งที่สามและได้บอกผู้ไปตามพระว่าให้จับแขนพระรูปที่พูดเป็นรูปแรกว่า
“อาตมาคือพระจูฬปันถก” เอาไว้ให้ดี
ทันทีที่เขาไปจับแขนของพระรูปที่พูดเป็นรูปแรกเอาไว้รูปนิมิตอื่นก็หายไปทั้งหมด
และพระจุลปันถกก็ได้เดินตามคนไปตามพระนั้นมาที่เรือนของหมอชีวกโกมารภัจ
หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว
พระจูฬปันถกซึ่งได้รับบัญชาจากพระศาสดาได้แสดงธรรมอย่างมั่นใจและองอาจเสียงดังฟังชัดดุจราชสีห์หนุ่มบันลือสีหนาท
ต่อมาเมื่อภิกษุทั้งหลายนำเรื่องนี้มาสนทนากัน
พระศาสดาได้ตรัสว่า บุคคลที่ขยัน มีความบากบั่น ไม่ท้อถอย ย่อมจะบรรลุพระอรหัตตผล
จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 25
ว่า
อุฏฺฐาเนนปฺปมาเทน
สญฺญเมน ทเมน จ
ทีปํ กริยาถ เมธาวี
ยํ โอโฆ นาภิกีรติฯ
โดยความขยัน ไม่ประมาท
สำรวมระวัง(มีศีล) และข่มใจตนเอง
ผู้มีปัญญาพึงสร้างเกาะ(ที่พึ่ง)
ที่ห้วงน้ำ(กิเลส) ท่วมไม่ถึง.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก
ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น เทศนามีประโยชน์แก่มหาชนผู้มาประชุมกัน.
สำหรับคาถาที่ว่า “ฆเฏสิ ฆเฏสิ กิงการณา ฆเฏสิ อะหังปิ ตัง ชานามิ ชานามิ” นั้นก็มาจากเรื่องพระจูฬปันถกเถระนี้แหละ เป็นช่วงตอนที่พระพุทธเจ้าทรงยกเอานิทานชาดกว่าด้วยอดีตชาติของพระจูฬปันถกเมื่อคราวที่เป็นนักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยตักกสิลามาเล่าแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
แม้ในชาตินั้นจูฬปันถกก็เป็นคนปัญญาทึบ เรียนอะไรจำไม่ค่อยจะได้
อาจารย์ทิศาปาโมกข์(คือพระพุทธองค์ที่ทรงเป็นพระโพธิสัตว์)มีความเมตตาสงสารจึงมอบมนต์คาถาดังกล่าวให้ท่องจำจนขึ้นใจแล้วส่งตัวให้กลับบ้าน
พร้อมกับได้กำชับว่า จงใช้มนต์คาถานี้เลี้ยงชีพ และเพื่อไม่ให้เกิดการลืมเลือนก็จะต้องท่องมนต์นี้อยู่เป็นนิตย์
เมื่อบัณฑิตหนุ่มปัญญาทึบแห่งมหาวิทยาลัยตักกสิลากลับถึงบ้านเมืองของตนแล้ว
มีอยู่คืนหนึ่งพวกโจรกำลังจะเข้าไปย่องเบาขโมยของที่บ้านหลังหนึ่ง ก็พอดีกับที่บัณฑิตหนุ่มปัญญาทึบแห่งมหาวิทยาลัยตักกสิลาตื่นขึ้นมาท่องมนต์บทนี้
เมื่อพวกโจรได้ยินก็คิดว่าเจ้าของบ้านรู้สึกตัวจึงพากันรีบหนีไป และก็พอดีอีกเหมือนกันกับที่พระราชาทรงปลอมพระองค์ออกลาดตระเวนดูตามบ้านต่างๆทรงเห็นเหตุการณ์นั้นด้วยจึงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้ายังพระราชวังและทรงเรียนมนต์คาถานี้จากบัณฑิตปัญญาทึบนั้น
และพระองค์ได้นำมนต์คาถาบทนี้ไปท่องจำจนขึ้นใจจนสามารถรอดพ้นจากอันตรายจากการที่จะถูกนายกัลบกใช้มีดโกนทำร้ายได้.