วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

มนต์คาถาจากธัมมปทัฏฐกถา: คาถาคุ้มครองทรัพย์



ฆเฏสิ ฆเฏสิ กิงการณา ฆเฏสิ อะหังปิ  ตัง  ชานามิ ชานามิ.

(คำแปล ท่านเพียรไปเถิด เพียรไปเถิด, เพราะเหตุไร? ท่านจึงเพียร, แม้เราก็รู้เหตุนั้นอยู่ รู้อยู่)

ใช้ท่องเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินในบ้าน ก่อนลั่นกุญแจออกจากบ้านก็ให้ท่องบ่นพระคาถานี้ เมื่อยามค่ำคืนก่อนนอนก็ท่องบ่นมนต์คาถานี้ หากจะเกิดอันตรายขึ้นก็จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากระซิบบอกและช่วยปกป้องให้พ้นจากภยันตรายนาประการแล.

มาจากเรื่อง ธัมมปทัฏฐกถา อัปปมาทวรรค เรื่อง พระจูฬปันถกเถระ 

เรื่องพระจูฬปันถกเถระ มีดังนี้:

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระเถระชื่อจูฬปันถก ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 25 นี้
เศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์ผู้หนึ่ง มีหลานชาย 2 คน คนหนึ่งชื่อ มหาปันถก และอีกคนหนึ่งชื่อ จูฬปันถก  คนที่ชื่อมหาปันถกเป็นพี่ชาย เคยติดตามท่านเศรษฐีผู้เป็นตาไปฟังพระธรรมเทศนาอยู่บ่อยๆและ ต่อมาคนที่ชื่อมหาปันถกนี้ก็ได้บวชเป็นพระภิกษุและไม่นานก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์  ส่วนคนที่ชื่อจูฬปันถกผู้น้องนั้นก็ตามมาบวชเหมือนกัน แต่เนื่องจากในอดีตชาติเมื่อครั้งพระกัสสปพุทธเจ้าเคยล้อเลียนภิกษุรูปหนึ่งที่ปัญญาทึบ จึงเกิดมาเป็นคนปัญญาทึบในชาตินี้  จูฬปันถกไม่สามารถจดจำพระคาถาได้แม้แต่พระคาถาเดียวแม้จะใช้เวลาเพียรพยายามจดจำอยู่ถึง 4 เดือน  พระมหาปันถกผู้พี่ชายเกิดความผิดหวังกับน้องชายเป็นอย่างมาก ถึงกับบอกว่าไม่คู่ควรที่จะบวชเป็นพระอยู่ต่อไป

ในช่วงเดียวกันนั้นเอง หมอชีวกโกมารภัจได้มาที่วัดเวฬุวันเพื่อนิมนต์พระศาสดาพร้อมกับภิกษุสงฆ์ไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตน  พระมหาปันถกซึ่งตอนนั้นทำหน้าที่เป็นพระภัตตุเทศก์ คือทำหน้าที่มอบหมายพระไปฉันตามแหล่งที่นิมนต์ไว้ นั้นได้ขีดฆ่าชื่อของพระจูฬบันถกออกจากบัญชีพระที่จะไปฉันภัตตาหาร เมื่อพระจูฬปันถกทราบเรื่องนี้ก็รู้สึกเสียใจมาก และได้ตัดสินใจจะลาเพศไปครองตัวเป็นฆราวาสดังเดิม  พระศาสดาทรงทราบเรื่องนี้ด้วยญาณพิเศษจึงเสด็จมาพาพระจูฬปันถกไปนั่งอยู่ที่หน้าพระคันธกุฎี จากนั้นพระองค์ได้ประทานผ้าขาวชิ่นหนึ่งให้แก่พระจูฬปันถกแล้วตรัสบอกให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออกแล้วใช้มือถูผ้าชิ้นนั้นอยู่เรื่อยๆ  ในขณะที่เอามือถูผ้าชิ่นนั้นก็ให้ภาวนาว่า รโชหรณํ ๆๆซึ่งแปลว่า  ผ้าเช็ดธุลี ๆๆ จากนั้นพระองค์ก็ได้เสด็จไปยังเรือนของหมอชีวกโกมารภัจ   พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย

ในขณะเดียวกันนั้น พระจูฬปันถกก็ได้เอามือถูผ้าขาวชิ้นนั้นๆ แล้วภาวนาว่า รโชหรณํ ๆๆๆ  ในไม่ช้าผ้าขาวชิ้นนั้นก็เกิดความสกปรก เมื่อพระจูฬปันถกเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นกับผ้า ก็รู้แจ้งเห็นจริงว่า สิ่งทั้งหลายมีความไม่เที่ยง  พระศาสดาทั้งที่ประทับอยู่ที่เรือนของหมอชีวกโกมารภัจทรงทราบความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของพระจุลปันถกโดยพระญาณพิเศษ  จึงได้แผ่รัศมีไปปรากฏพระองค์อยู่เบื้องหน้าพระจุลปันถกตรัสว่า

มิใช่ว่าจะมีเพียงชิ้นผ้านี้เท่านั้นที่ทำให้สกปรกได้ด้วยฝุ่นธุลี  แต่ภายในของคนเราก็ยังมีฝุ่นธุลีคือ ราคะ โทสะ และโมหะ กล่าวคือ ความไม่รู้ในอริยสัจ 4 โดยการขจัดราคะ โทสะ และโมหะเหล่านี้ ก็จะทำให้บุคคลบรรลุเป้าหมายและบรรลุพระอรหัตตผลได้  พระจุลปันถกฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้วนำมาเพ่งพินิจ ต่อมาไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ   ด้วยเหตุนี้พระจุลปันถกจึงยุติความเป็นคนปัญญาทึบตั้งแต่นั้น

ส่วนที่เรือนของหมอชีวก เป็นช่วงเวลาที่คนทั้งหลายกำลังจะรินน้ำทักษิโณทกเป็นสัญญาณการถวายทานอยู่พอดี แต่พระศาสดาได้เอาพระหัตถ์มาปิดบาตรเอาไว้ และตรัสถามว่าที่วัดยังมีพระตกค้างอยู่หรือไม่  เมื่อได้รับคำทูลตอบว่าไม่มีพระอยู่ที่นั่น พระศาสดาตรัสว่ายังมีพระอยู่รูปหนึ่ง จึงได้ตรัสบอกคนไปพาพระจุลปันถกมาจากวัด  เมื่อคนคนนั้นออกเดินทางจากเรือนของหมอชีวกโกมารภัจไปถึงที่วัดก็ได้พบพระภิกษุที่รูปร่างเหมือนๆกันอยู่จำนวน 1000 รูป   ภาพนิมิตของพระเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยอานุภาพฤทธิ์ของพระจุลปันถก  คนที่ส่งไปนั้นเกิดความสับสนและได้กลับมารายงานเรื่องนี้ให้หมอชีวกโกมารภัจได้ทราบ  หมอชีวกโกมารภัจได้ส่งคนคนนี้ไปอีกเป็นครั้งที่สอง  โดยให้ไปบอกว่าพระศาสดาตรัสเรียกภิกษุที่ชื่อว่าจุลปันถก  เมื่อคนคนนี้ไปพูดตามที่บอก พระทั้งพันรูปนั้นก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า อาตมาคือพระจูฬปันถก ๆๆๆคนไปตามพระเกิดความสับสนขึ้นอีกและได้กลับมารายงานอีกเป็นครั้งที่สอง  คราวนี้หมอชีวกโกมารภัจได้ส่งคนไปตามพระนั้นกลับไปที่วัดเป็นครั้งที่สามและได้บอกผู้ไปตามพระว่าให้จับแขนพระรูปที่พูดเป็นรูปแรกว่า อาตมาคือพระจูฬปันถกเอาไว้ให้ดี  ทันทีที่เขาไปจับแขนของพระรูปที่พูดเป็นรูปแรกเอาไว้รูปนิมิตอื่นก็หายไปทั้งหมด  และพระจุลปันถกก็ได้เดินตามคนไปตามพระนั้นมาที่เรือนของหมอชีวกโกมารภัจ หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว  พระจูฬปันถกซึ่งได้รับบัญชาจากพระศาสดาได้แสดงธรรมอย่างมั่นใจและองอาจเสียงดังฟังชัดดุจราชสีห์หนุ่มบันลือสีหนาท

ต่อมาเมื่อภิกษุทั้งหลายนำเรื่องนี้มาสนทนากัน พระศาสดาได้ตรัสว่า บุคคลที่ขยัน มีความบากบั่น ไม่ท้อถอย ย่อมจะบรรลุพระอรหัตตผล

จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 25 ว่า

อุฏฺฐาเนนปฺปมาเทน
สญฺญเมน ทเมน จ
ทีปํ กริยาถ เมธาวี
ยํ โอโฆ นาภิกีรติฯ

โดยความขยัน ไม่ประมาท
สำรวมระวัง(มีศีล) และข่มใจตนเอง
ผู้มีปัญญาพึงสร้างเกาะ(ที่พึ่ง)
ที่ห้วงน้ำ(กิเลส) ท่วมไม่ถึง.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น  เทศนามีประโยชน์แก่มหาชนผู้มาประชุมกัน.

สำหรับคาถาที่ว่า “ฆเฏสิ ฆเฏสิ กิงการณา ฆเฏสิ อะหังปิ ตัง  ชานามิ ชานามิ” นั้นก็มาจากเรื่องพระจูฬปันถกเถระนี้แหละ เป็นช่วงตอนที่พระพุทธเจ้าทรงยกเอานิทานชาดกว่าด้วยอดีตชาติของพระจูฬปันถกเมื่อคราวที่เป็นนักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยตักกสิลามาเล่าแก่ภิกษุทั้งหลายว่า แม้ในชาตินั้นจูฬปันถกก็เป็นคนปัญญาทึบ เรียนอะไรจำไม่ค่อยจะได้ อาจารย์ทิศาปาโมกข์(คือพระพุทธองค์ที่ทรงเป็นพระโพธิสัตว์)มีความเมตตาสงสารจึงมอบมนต์คาถาดังกล่าวให้ท่องจำจนขึ้นใจแล้วส่งตัวให้กลับบ้าน พร้อมกับได้กำชับว่า จงใช้มนต์คาถานี้เลี้ยงชีพ และเพื่อไม่ให้เกิดการลืมเลือนก็จะต้องท่องมนต์นี้อยู่เป็นนิตย์ เมื่อบัณฑิตหนุ่มปัญญาทึบแห่งมหาวิทยาลัยตักกสิลากลับถึงบ้านเมืองของตนแล้ว มีอยู่คืนหนึ่งพวกโจรกำลังจะเข้าไปย่องเบาขโมยของที่บ้านหลังหนึ่ง ก็พอดีกับที่บัณฑิตหนุ่มปัญญาทึบแห่งมหาวิทยาลัยตักกสิลาตื่นขึ้นมาท่องมนต์บทนี้ เมื่อพวกโจรได้ยินก็คิดว่าเจ้าของบ้านรู้สึกตัวจึงพากันรีบหนีไป และก็พอดีอีกเหมือนกันกับที่พระราชาทรงปลอมพระองค์ออกลาดตระเวนดูตามบ้านต่างๆทรงเห็นเหตุการณ์นั้นด้วยจึงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้ายังพระราชวังและทรงเรียนมนต์คาถานี้จากบัณฑิตปัญญาทึบนั้น และพระองค์ได้นำมนต์คาถาบทนี้ไปท่องจำจนขึ้นใจจนสามารถรอดพ้นจากอันตรายจากการที่จะถูกนายกัลบกใช้มีดโกนทำร้ายได้.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น