08เรื่องพระสารีบุตรเถระ
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่วัดพระเขตวัน ในกรุงสาวัตถี
ทรงปรารภอุปติสสะและโกลิตะ ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 11
และพระคาถาที่ 12 นี้
อุปติสสะและโกลิตะเป็นชายหนุ่มจากหมู่บ้านอุปติสสะและหมู่บ้านโกลิตะซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์ ทั้งสองคนไปชมมหรสพอยู่บนยอดภูเขาแล้วเกิดความตระหนักถึงความไม่เที่ยงของทุกสิ่งทุกอย่างจึงได้ตัดสินใจแสวงหาความหลุดพ้น
ในเบื้องแรกทั้งสองคนได้เข้าไปเป็นศิษย์ของอาจารย์สญชัยซึ่งเป็นปริพาชกในกรุงราชคฤห์
แต่ไม่สมใจในคำสอนของสญชัย
จึงได้ออกเดินทางตระเวนไปทั่วชมพูทวีป(อินเดีย)แล้วกลับมาที่กรุงราชคฤห์ดังเดิม
หลังจากตระเวนหาแล้วไม่พบธรรมะอย่างแท้จริง
ทั้งสองจึงได้ทำความตกลงกันว่าหากคนใดคนหนึ่งได้ไปพบธรรมะที่แท้จริงก็จะต้องบอกแก่กันและกัน
อยู่มาวันหนึ่งอุปติสสะไปพบพระอัสสชิเถระและได้เรียนรู้จากท่านถึงแก่นแท้ของธรรมะ
ซึ่งพระอัสสะได้กล่าวเป็นพระคาถาว่า “เย
ธมฺมา เหตุปพฺภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต อาห เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที
มหาสมโณ” ซึ่งแปลความได้ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นแต่เหตุ
พระตถาคตตรัสเหตุแห่งสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น และความดับไปแห่งเหตุทั้งหลายเหล่านั้
พระมหาสมณะมีปกติกล่าวอย่างนี้” เมื่อได้ฟังพระคาถานี้แล้วอุปติสสะก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล
จากนั้นก็ได้ทำคำที่ให้สัญญากันไว้กับโกลิตะ
คือได้ไปบอกกับสหายผู้นี้ว่าตนได้บรรลุถึงความไม่ตายแล้วได้นำพระคาถานั้นมาว่าให้โกลิตะฟัง
โกลิตะได้ฟังแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันอีกเช่นกัน ทั้งสองคนรำลึกถึงอาจารย์สญชัยจึงชวนกันไปพบและเรียนท่านว่า
“พวกเราได้พบบุคคลที่จะชี้แนะหนทางแห่งความไม่ตายแล้ว
บัดนี้พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาแล้วในโลก พระธรรมก็เกิดขึ้นมาแล้ว
พระสงฆ์ก็เกิดขึ้นมาแล้ว..มาเถิดจงไปพบกับอาจารย์ท่านนั้นกัน” คนทั้งสองวาดหวังไว้ว่าอดีตอาจารย์ของตนผู้นี้จะตามไปพบกับพระพุทธเจ้าและเมื่อได้ฟังธรรมแล้วก็จะได้บรรลุมรรคผล
แต่ท่านสญชัยปฏิเสธไม่ยอมตามไปด้วย
ดังนั้นอุปติสสะและโกลิตะพร้อมด้วยบริวารจำนวน
๒๕๐ คน จึงได้ไปเฝ้าพระพุทธจ้าที่วัดเวฬุวัน
และทั้งสองคนก็ได้บรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา อุปติสสะในฐานะเป็นบุตรของนางรูปสารีจึงมีชื่อว่า
พระสารีบุตรเถระ ส่วนโกลิตะเป็นบุตรของนางโมคคัลลีจึงมีชื่อว่า มหาโมคคัลลานะ ในวันที่ 7
หลังจากบวชพระโมคคัลลานะก็ได้บรรลุอรหัตตผล
ส่วนพระสารีบุตรได้บรรลุพระอรหัตตผลหลังจากอุปสมบทได้ 15
วัน ในวันนั้นเองพระพุทธเจ้าได้สถาปนาท่านทั้งสองไว้ในตำแหน่งอัครสาวกขวาซ้ายคือ
พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย
จากนั้นพระอัครสาวกทั้งสองได้กราบทูลพระศาสดาเรื่องที่ท่านขึ้นไปชมมหรสพบนภูเขา
ไปพบกับพระอัสสชิ และได้บรรลุพระโสดาปัตติผล
หลังจากนั้นก็ได้ไปชวนอดีตอาจารย์สญชัยโดยกะว่าจะให้เดินทางมาพร้อมกับพวกตน
แต่สญชัยได้กล่าวว่า “เราเป็นอาจารย์มีลูฏศิษยลูกหามากมาย
จะให้เรามาเป็นศิษย์คนอื่นนั้นก็จะเหมือนกับการเปลี่ยนตุ่มน้ำให้เป็นถ้วยน้ำชา”
นอกจากนั้นแล้วท่านก็ยังบอกด้วยว่า คนที่ฉลาดมีน้อย
ส่วนพวกคนโง่มีมาก ก็ให้พวกคนฉลาดไปหาพระสมณโคดมผู้ฉลาด ส่วนพวกคนโง่ก็จะมาหาเราผู้เป็นคนโง่ พวกท่านทั้งสองจงไปตามทางของพวกท่านเถิด”
ดังนั้น พระศาสดาทรงชี้ว่า
เพราะทิฐินั้นเองทำให้ท่านสญชัยต้องพลาดจากการได้เห็นธรรมว่าเป็นธรรม
เมื่อสญชัยยังเห็นอธรรมว่าเป็นธรรมก็จะยังไม่สามารถบรรลุถึงธรรมที่แท้จริงได้
จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 11
และพระคาถาที่ 12 ว่าดังนี้
อสาเร สารมติโน
สาเร จ อสารทสฺสิโน
เต สารํ นาธิคจฺฉติ
มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจราฯ
ผู้ใดเห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ
เห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าไร้สาระ
เขามีความคิดผิดเสียแล้ว
ย่อมไม่ประสบสิ่งที่เป็นสาระ
สารญฺจ
สารโต ญตฺวา
อสารญฺจ อสารโต
เต สารํ อธิคจฺฉติ
สมฺมาสงฺกปฺปโคจราฯ
ผู้เข้าใจสิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นสาระ
เห็นสิ่งที่ไร้สาระว่าไร้สาระ
มีความคิดเห็นชอบ
ย่อมประสบสิ่งที่เป็นสาระ
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง คนเป็นจำนวนมากได้บรรลุพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระธรรมเทศนามีประโยชน์แก่ผู้ที่มาประชุมกัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น