วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

ธรรมบทรวมชุด: บทที่ 8 : สหัสสวรรค




01.เรื่องของบุรุษผู้ฆ่าโจรมีเคราแดง

เมื่อพระศาสดา ประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุรุษผู้ฆ่าโจรมีเคราแดง ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 100 นี้

นายตัมพทาฐิกะ(บุรุษผู้ฆ่าโจรมีเคราแดง) รับราชการเป็นเพชฌฆาตประหารชีวิตโจรมาเป็นเวลา 55 ปี ต่อมาได้เกษียณอายุราชการ วันหนึ่งหลังจากสั่งคนให้ตระเตรียมข้าวยาคูไว้ที่บ้านแล้ว เขาก็ได้ไปที่แม่น้ำเพื่ออาบน้ำชำระกายก่อนที่จะกลับมารับประทานข้าวยาคูที่ตระเตรียมไว้เป็นการพิเศษนั้น ขณะที่เขากำลังจะรับประทานข้าวยาคูอยู่นั้น พระสารีบุตรซึ่งเพิ่งจะออกจากสมาบัติก็ได้มายืนอยู่ที่ประตูบ้านของเขาเพื่อขอบิณฑบาต นายตัมพทาฐิกะพอเห็นพระเถระมายืนอยู่ก็มีจิตเลื่อมใสมีความคิดว่า เรากระทำโจรกรรมมานาน เราฆ่ามนุษย์เสียเป็นอันมาก บัดนี้ ในเรือนของเราตกแต่งยาคูเจือน้ำนมไว้ และพระเถระก็มายืนอยู่ที่ประตูเรือนของเรา ควรที่เราจะถวายไทยธรรมแก่พระผู้เป็นเจ้าเมื่อคิดดังนี้แล้วก็ได้นิมนต์พระเถระเข้าไปไปนั่งในเรือนของตนแล้วนำข้าวยาคูมาถวายโดยความเคารพ

หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว พระเถระได้แสดงธรรมแก่นายตัมพทาฐิกะ แต่เขาไม่สามารถส่งจิตของตนไปตามกระแสธรรมเทศนาของพระเถระได้ เพราะว่าเขามัวแต่นึกถึงชีวิตในอดีตของตนที่เคยเป็นเพชฌฆาตฆ่าคนตายมานับไม่ถ้วน เมื่อพระเถระทราบความในข้อนี้จึงใช้วิธีลวงเขาโดยถามเขาว่าเขาฆ่าพวกโจรเพราะต้องการอยากจะฆ่าหรือว่าถูกคนอื่นให้กระทำเช่นนั้น

นายตัมพทาฐิกะตอบว่าเขาได้รับคำสั่งจากพระราชาให้ฆ่าพวกโจรโดยที่เขาไม่ต้องการฆ่าแต่อย่างใด พระเถระจึงได้ตั้งคำถามต่อไปว่า อุบาสก เมื่อเป็นเช่นนั้น อกุศลจะมีแก่ท่านอย่างไรเล่านายตัมพทฐิกะจึงสรุปเองว่า เมื่อเขาไม่ต้องรับผิดชอบต่ออกุศลกรรมนั้น อกุศลไม่มีแก่เราจากนั้นเขาก็ได้ทำจิตให้สงบแล้วขอให้พระเถระแสดงธรรมโปรด เมื่อเขาฟังธรรมด้วยความตั้งใจ ก็เข้าใกล้กระแสโสดาปัตติมรรค เมื่อพระเถระแสดงธรรมจบแล้วก็ได้เดินทางกลับโดยนายตัมพทาฐิกะตามไปส่ง ในตอนเดินทางกลับมาบ้านนั้นเขาก็ได้ถูกแม่โคนม(ที่ถูกนางยักษิณีตนหนึ่งเข้าสิง)ขวิดตาย

ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า บุรุษฆ่าโจร กระทำกรรมหยาบช้าสิ้น 55 ปี พ้นจากกรรมนั้นในวันนี้แล ถวายภิกษาแก่พระเถระก็ในวันนี้เหมือนกัน กระทำกาละก็ในวันนี้เหมือนกัน เขาบังเกิดในที่ไหนหนอ

พระศาสดาได้ตรัสบอกแก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นว่า แม้ว่านายตัมพทาฐิกะจะประกอบอกุศลกรรมมาตลอดชีวิต แต่เพราะรู้แจ้งธรรมหลังจากฟังธรรมจากพระสารีบุตรเถระแล้วได้บรรลุอนุโลมญาณก่อนจะเสียชีวิต จึงไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต พระภิกษุเหล่านั้นต่างเกิดความสงสัยว่าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอย่าถือประมาณแห่งธรรมที่เราแสดงแล้วว่าน้อยหรือมาก เพราะว่าแม้วาจาคำเดียวที่อาศัยประโยชน์ ประเสริฐโดยแท้

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถาที่ 100 ว่า

สหสฺสมฺปิ เจ วาจา
อนตฺถปทสญฺหิตา
เอกํ อตฺถปทํ เสยฺโย
ยํ สุตวา อุปสมฺมติฯ

วาจาแม้ตั้งพัน
แต่ไม่ประกอบด้วยบทที่มีประโยชน์
สู้บทที่ประกอบด้วยประโยชน์เพียงบทเดียว
ที่คนฟังแล้วสงบ ไม่ได้.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
-----------------------------------

02.รื่องพระทารุจีริยเถระ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระทารุจีริยเถระ ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 101 นี้

ครั้งหนึ่ง พ่อค้ากลุ่มหนึ่งแล่นเรือไปค้าขายทางทะเล เรือของพวกเขาเกิดอับปางในทะเลและเสียชีวิตทุกคน มีผู้รอดชีวิตอยู่เพียงคนเดียว โดยเขาผู้นี้ได้จับกระดานแผ่นหนึ่งไว้ได้และพยายามกระเสือกกระสนเข้าหาฝั่งของท่าเรือชื่อสุปปารกะได้สำเร็จ เขาไม่มีเสื้อผ้าปกปิดร่างกายจึงได้เอาปอพันท่อนไม้แห้งทำเป็นผ้านุ่งห่ม ถือกระเบื้องจากเทวสถานไปนั่งขอทานอยู่ ณ สถานที่ที่ผู้คนเดินผ่านไปมา ประชาชนที่เดินผ่านไปมาเห็นเขาแล้วก็ให้ข้าวยาคูและอาหารเป็นต้นแล้วกล่าวยกย่องว่า ผู้นี้เป็นพระอรหันต์มีผู้มีศรัทธาบางคนนำเสื้อผ้ามาให้ แต่เขาก็ได้ปฏิเสธที่จะใช้เสื้อผ้านั้นเพราะเกรงไปว่าหากเขาสวมใส่เสื้อผ้าเสียแล้ว ลาภสักการะของเราจักเสื่อมจึงเลือกที่จะนุ่งห่มแต่ผ้าเปลือกไม้เท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว เมื่อผู้คนกล่าวว่าเขาเป็นพระอรหันต์ เขาก็เลยเข้าใจผิดคิดไปว่าตนเองเป็นพระอรหันต์จริงๆ ด้วยเหตุที่เขาใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ซึ่งสวมใส่ผ้าเปลือกไม้ เขาจึงมีชื่อว่า ทารุจีริยะ

ในครั้งนั้นมีท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง ซึ่งในอดีตชาติเคยเป็นเพื่อนร่วมปฏิบัติสมณธรรมกับเขามาก่อน เห็นเขาหลงทางไปเช่นนี้ก็ได้มาช่วยชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้ โดยท้าวมหาพรหมองค์นี้ได้มาหาเขาในคืนหนึ่งและได้บอกว่า พาหิยะ ท่านไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ท่านยังไม่ได้บรรลุพระอรหัตตมรรคเลย และยิ่งไปกว่านั้นท่านก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะทำให้เป็นพระอรหันต์ด้วยพาหิยะทารุจีริยะมองดูท้าวมหาพรหมแล้วถามว่า ท่านผู้เป็นเทวดา เอาละ เรายอมรับว่าเรามิได้เป็นพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้พระอรหันต์หรือผู้บรรลุพระอรหัตตมรรคมีอยู่ในโลกหรือไม่ท้าวมหาพรหมกล่าวว่า พาหิยะ บัดนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ในนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคนอกจากจะเป็นพระอรหันต์แล้ว ยังทรงแสดงธรรมเพื่อความเป็นพระอรหันต์ด้วย

พาหิยะฟังคำของท้าวมหาพรหมแล้วมีความสลดใจ และได้รีบเดินทางออกจากท่าเรือสุปปารกะไปยังนครสาวัตถี ซึ่งท้าวมหาพรหมก็ได้ใช้อำนาจเทวฤทธิ์บันดาลให้พาหิยะเดินทางไปถึงนครแห่งนั้นซึ่งอยู่ไกลออกไปถึง 120 โยชน์โดยใช้เวลาเดินทางเพียงคืนเดียวเท่านั้น พาหิยะพบว่าพระศาสดากำลังบิณฑบาตพร้อมด้วยหมู่ภิกษุจึงได้เข้าไปทำความเคารพแล้วกราบทูลให้ทรงแสดงธรรมโปรด แต่พระศาสดาตรัสตอบว่า เป็นช่วงที่พระองค์กำลังออกบิณฑบาต ยังไม่ถึงเวลาที่จะทรงแสดงธรรมโปรด พาหิยะฟังพระพุทธดำรัสนั้นแล้วกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าอันตรายแห่งชีวิตของพระองค์ หรือของข้าพระองค์ จะบังเกิดขึ้นเมื่อใด ขอพระองค์จงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิดพระศาสดาทรงทราบว่าพาหิยะเดินทางมาไกลถึง 120 โยชน์โดยใช้เวลาเดินทางเพียงคืนเดียวเท่านั้น และทรงทราบด้วยว่าพาหิยะมีปีติปราโมทย์จากการได้เห็นพระองค์ ซึ่งบุคคลที่มีปีติปราโมทย์มากเช่นนี้ แม้ฟังธรรมแล้วจักไม่อาจแทงตลอดสัจธรรมได้ จะต้องรอให้มีจิตสงบเป็นอุเบกขาเสียก่อนเมื่อทรงแสดงธรรมจึงจะได้ผล แต่พาหิยะก็ยังกราบทูลคะยั้นคะยอให้พระศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดให้จงได้ ดังนั้นพระศาสดาจึงได้ทรงแสดงธรรมขณะประทับยืนอยู่บนถนนว่า พาหิยะ เพราะเหตุนั้น เธอพึงศึกษาในศาสนานี้อย่างนี้ว่า เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินเสียง ก็สักแต่ว่าได้ยิน เมื่อได้สูดกลิ่น ก็สักแต่ว่าได้สูดกลิ่น เมื่อสัมผัสด้วยกาย ก็สักแต่ว่าสัมผัส เมื่อรับรู้ด้วยใจ ก็สักแต่ว่ารับรู้

พาหิยะเมื่อได้สดับธรรมของพระศาสดาเช่นนี้แล้ว ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์และได้ทูลขอบรรพชากับพระศาสดา แต่พระศาสดาได้ตรัสบอกให้เขาไปหาบาตรและจีวรมาให้ครบเสียก่อนจึงจะทรงบรรพชาให้ ขณะที่พาหิยะแสวงหาบาตรและจีวรอยู่นั้นเอง เขาก็ได้ถูกแม่โคนมที่นางยักษิณีตนหนึ่งเข้าสิงขวิดตาย เมื่อพระศาสดาเสด็จเที่ยวบิณฑบาต ทรงกระทำภัตตกิจเสร็จแล้ว เสด็จออกไปพร้อมกับภิกษุทั้งหลาย ทรงพบร่างของพาหิยะนอนตายอยู่ที่ข้างกองขยะ จึงทรงบัญชาให้พระภิกษุทั้งหลายทำการฌาปนกิจศพของพาหิยะ แล้วรับสั่งให้สร้างสถูปเป็นที่บรรจุอัฐิธาตุของท่านไว้

 เมื่อพระศาสดาเสด็จกลับถึงวัดพระเชตวันแล้ว ได้ตรัสบอกภิกษุทั้งหลายที่สงสัยทูลถามถึงปรายภพของพาหิยะว่า พาหิยะ ปรินิพพานแล้ว พระศาสดายังได้ตั้งพาหิยะในตำแหน่งเอตทัคคะว่า ภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะ(พาหิยะผู้นุ่งผ้าเปลือกไม้) เป็นเลิศกว่าภิกษุ ผู้สาวกของเราผู้ตรัสรู้เร็วภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า พาหิยทารุจีริยะบรรลุพระอรหัตเมื่อใดพระศาสดาตรัสตอบว่า พาหิยทารุจีริยะ บรรลุอรหัตขณะยืนฟังเราแสดงธรรมบนถนนขณะเที่ยวบิณฑบาตพระภิกษุทั้งหลายสงสัยต่อไปว่าคนที่ฟังธรรมเพียงเล็กน้อย จะสามารถบรรลุพระอรหัตได้อย่างไร พระศาสดาจึงตรัสว่า ปริมาณของคำพูดหรือความยาวของถ้อยคำไม่เป็นเรื่องสำคัญอะไร แต่สำคัญอยู่ที่คุณภาพของคำพูดหรือถ้อยคำ ที่จะเอื้อประโยชน์แก่บุคคลนั้นๆต่างหาก

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถาที่ 101 ว่า

 สหสฺสมฺปิ เจ คาถา
 อนตฺถปทสญฺหิตา
เอกํ คาถาปทํ เสยฺโย
ยํ สุตวา อุปสมฺมติฯ

คาถาแม้ตั้งพัน
แต่ไม่ประกอบด้วยบทที่มีประโยชน์
สู้คาถาที่ประกอบด้วยประโยชน์เพียงบทเดียว
ที่คนฟังแล้วสงบ ไม่ได้.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
--------------------------------------------------------------------------

03. เรื่องพระกุณฑลเกสีเถรี

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางกุณฑลเกสี ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 102 และพระคาถา 103 นี้

นางกุณฑลเกสี เป็นธิดาของเศรษฐีคนหนึ่งในกรุงราชคฤห์ นางมีนิสัยเจ้าชู้ร่านผู้ชายมาก มารดาบิดาจึงนำตัวไปกักไว้บนชั้นบนสุดของปราสาท 7 ชั้น อยู่มาวันหนึ่งนางมองลงมาจากปราสาทเห็นโจรผู้หนึ่งถูกนำตัวไปสู่ที่ประหาร นางเกิดความรักในโจรนั้นขึ้นมาในทันที และได้ใช้วิธียื่นคำขาดกับพ่อแม่ว่า หากนางไม่ได้โจรนั้นมาเป็นสามีนางก็จะฆ่าตัวตาย ข้างมารดาบิดาพยายามพูดจาหว่านล้อมต่างๆแต่ก็ไม่สำเร็จ จึงต้องจำใจใช้เงินไปไถ่ชีวิตโจรนั้นให้พ้นจากอาญาแผ่นดินมาแต่งงานกับบุตรสาวของตน แม้ว่านางกุณฑลเกสีจะรักสามีโจรมาก แต่สามีโจรไม่ได้รักนางแต่อย่างใด สามีโจรมีความประสงค์อยากจะได้ทรัพย์สมบัติและเครื่องทองรูปพรรณของนางเพื่อนำไปขายซื้อสุราดื่ม วันหนึ่งเขาจึงออกอุบายให้นางสวมเครื่องทองรูปพรรณและเพชรนิลจินดาทุกชนิดแล้วพากันขึ้นไปบนภูเขา โดยอ้างว่าจะไปกระทำพิธีแก้บนเทวดาที่ตนเคยบนไว้ให้ช่วยรอดพ้นจากการถูกประหาร

นางกุณฑลเกสีหลงเชื่อและเดินทางขึ้นภูเขาไปกับสามี เมื่อทั้งสองคนไปถึงที่หมายหมายแล้ว ข้างสามีโจรก็ได้บอกถึงความประสงค์ที่แท้จริงของตนว่า ที่พากันมานี้เพราะต้องการฆ่านางเพื่อนำเอาเครื่องเพชรเครื่องทองทั้งหลายไปขายซื้อสุราดื่ม นางได้วิงวอนขอชีวิตแต่โจรไม่ยอมจะฆ่านางให้ได้ นางจึงตัดสินใจฆ่าโจรเพื่อรักษาชีวิตของตนเองไว้ ทั้งนี้นางได้ใช้กลลวงว่านางเพิ่งจะอยู่กับสามีโจรมาไม่นาน ไหนๆก็จะตายแล้วนางมีความประสงค์จะทำความเคารพสามีเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งโจรก็ตกหลุมพรางยอมให้นางกระทำตามต้องการ พอสามีเผลอนางก็ได้ผลักสามีตกลงเหวตาย จากนั้นนางไม่ต้องการจะเดินทางกลับบ้าน จึงนำเอาเครื่องเพชรเครื่องทองของประดับกายทั้งหมดห้อยไว้ตามกิ่งไม้ แล้วเดินทางไปโดยปราศจากจุดหมายปลายทาง นางเดินทางไปถึงอาศรมของนางปริพาชกและได้ขอบวชเป็นนางปริพาชิกา พวกปริพาชกได้สอนนางให้รู้จักศิลปะตั้งคำถาม 1000 คำถามสำหรับถามคนทั่วไป ด้วยเหตุที่นางเป็นคนเฉลียวฉลาดจึงสามารถเรียนศิลปะนี้สำเร็จได้อย่างรวดเร็วมาก จากนั้นพวกปริพาชกก็ได้บอกให้นางถือกิ่งชมพู่ออกตระเวนถามปัญหาไปทั่วชมพูทวีป เมื่อไปพบคนที่สามารถตอบปัญหาเหล่านี้ได้ หากผู้นั้นเป็นคฤหัสถ์ก็ให้นางมอบตนเป็นนางบำเรอ หากเป็นบรรพชิตก็จงบรรพชาในสำนักของชายผู้นั้น นางจึงมีชื่อว่า ชัมพุปริพาชิกาเพราะนางถือกิ่งหว้าอยู่ในมือ เที่ยวตระเวนไปปักกิ่งหว้านี้ไว้ตามกองทรายเพื่อล่อให้คนมาติดกับถามปัญหาไปทั่วทุกหนทุกแห่ง

นางตระเวนถามปัญหาไปถึงกรุงสาวัตถี แต่ก่อนที่นางจะเดินทางเข้าไปไปในเมืองเพื่อขออาหารนั้น นางก็ได้ปักกิ่งหว้าไว้ เพื่อเป็นการท้าทายคนให้ออกมาโต้ตอบปัญหากับนาง พระสารีบุตรเถระได้รับคำท้าของนางและสามารถตอบคำถามทั้ง 1000 ข้อของนางนั้นได้ แต่พอถูกถามกลับบ้าง ด้วยคำถามว่า อะไรชื่อว่าหนึ่ง(เอกํ นาม กึ)นางกุณฑลเกสีตอบไม่ได้ และนางได้ขอให้พระสารีบุตรเถระช่วยเฉลยคำตอบ พระสารีบุตรเถระตอบว่านางจะต้องบวชเป็นภิกษุณีเสียก่อนถึงจะเฉลยปัญหาข้อนี้ ดังนั้นนางจึงยอมบวชเป็นภิกษุณีและได้นามว่า พระกุณฑลเกสีเถรี หลังจากบวชเพียง 2-3 วันเท่านั้นนางก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย

 ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า การฟังธรรมของนางกุณฑลเกสีมีไม่มาก เป็นไปได้อย่างไรที่นางจะได้บรรลุพระอรหัตผลและนางสามารถต่อสู้จนเอาชนะสามีโจรของนางได้ก่อนที่จะมาบวชเป็นนางปริพาชิกา

พระศาสดาตรัสกับภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นว่า ปริมาณของคำพูดไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่คุณภาพของคำพูดนั้น และการเอาชนะคนอื่น ไม่ชื่อว่าชัยชนะที่แท้จริง การเอาชนะโจรคือกิเลสที่อยู่ภายในตนนี่แหละ จึงจะชื่อว่าชัยชนะอย่างแท้จริง

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 102 และพระคาถาที่ 103 ว่า

โย จ คาถาสตํ ภาเส
อนตฺถปทสญฺหิตา
เอกํ ธมฺมปทํ เสยฺโย
ยํ สุตวา อุปสมฺมติฯ

ถึงจะกล่าวคาถาตั้งร้อยคาถา
แต่ไม่ประกอบด้วยบทที่มีประโยชน์
ก็สู้บทธรรมที่บุคคลฟังแล้วสงบเพียงบทเดียว ไม่ได้.

โย สหสฺสํ สหสฺเสน
สงฺคาเม มานุเส ชิเน
เอกญฺจ เชยฺยมตฺตานํ
ส เว สงฺคมาชุตฺตโมฯ

ถึงจะชนะคนได้นับล้านคนในสมรภูมิ
ก็ยังสู้ชนะตนเองเพียงคนเดียวไม่ได้
ผู้เอาชนะตนเองได้นั้น
เป็นยอดขุนพล.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.

-----------------------------------------------------------------------

04 เรื่องอนัตถปุจฉกพราหมณ์

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภอนัตถปุจฉกพราหมณ์ ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 104 และพระคาถาที่ 105 นี้

ครั้งหนึ่ง พราหมณ์ชื่ออนัตถปุจฉกะ ได้มาเฝ้าพระศาสดาทูลถามปัญหาว่า พระเจ้าข้า พระองค์เห็นจะทรงทราบแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างเดียว คงไม่ทรงทราบสิ่งที่มิใช่ประโยชน์พระศาสดาตรัสว่า พราหมณ์ เรารู้ทั้งสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทั้งสิ่งที่มิใช่ประโยชน์จากนั้นพระองค์ทรงตรัสจำแนกสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ไว้ 6 ประการ คือ 1.การนอนตื่นสาย 2.ความเกียจคร้าน 3.ความดุร้าย 4. การผัดวันประกันพรุ่ง 5. การเดินทางคนเดียว และ6. การเสพสมภรรยาของผู้อื่น

จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสถามพราหมณ์นั้นว่า ประกอบอาชีพอะไร พราหมณ์ตอบว่า ประกอบอาชีพเล่นการพนัน พระศาสดาตรัสถามว่า เวลาเล่นการพนัน แพ้หรือว่าชนะ พราหมณ์ตอบว่า บางครั้งก็แพ้ บางครั้งก็ชนะ พระศาสดาตรัสว่า การเล่นการพนันชนะไม่ประเสริฐ สู้เอาชนะกิเลสของตนเองไม่ได้ ประเสริฐกว่า

 จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถาที่ 104 และพระคาถา 105 ว่า

อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย
ยา จายํ อิตรา ปชา
อตฺตทนฺตสฺส โปสสฺส
นิจฺจํ สญฺญตจาริโนฯ

เนว เทโว น คนฺธพฺโพ
 น มาโร สห พฺรหฺมุนา
ชิตํ อปชิตํ กริยา
ตถารูปสฺส ชนฺตุโนฯ

ตนนั่นแล บุคคลชนะแล้ว ประเสริฐ
ส่วนหมู่สัตว์นอกนี้ บุคคลชนะแล้ว ไม่ประเสริฐ
เพราะเมื่อบุคคลฝึกฝนแล้ว ประพฤติสำรวมเป็นนิตย์
ถึงเทวดา คนธรรพ์ มาร พรหม
ก็มาชิงเอาชัยชนะของเขากลับไปไม่ได้.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
-----------------------------------------------------------------------

05. เรื่องพราหมณ์ผู้เป็นลุงของพระสารีบุตรเถระ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพราหมณ์ผู้เป็นลุงของพระสารีบุตรเถระ ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 106 นี้

ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรเถระได้ถามลุงของท่านว่า ได้ทำกุศลอะไรๆไว้แล้วหรือยัง พราหมณ์นั้นตอบว่าตนได้ทำกุศลไว้แล้ว โดยการบริจาคทรัพย์พันกหาปณะทุกๆเดือนให้แก่พวกนิครนถ์ ทั้งนี้โดยปรารถนาไปเกิดยังพรหมโลกในชาติหน้า พระสารีบุตรเถระอธิบายให้พราหมณ์ฟังว่า พราหมณ์ไม่รู้ทางแห่งพรหมโลก พวกนิครนถ์ครูของพราหมณ์ก็ไม่รู้ทางแห่งพรหมโลก พระศาสดาองค์เดียวเท่านั้นทรงรู้ มาเถิดพราหมณ์ อาตมาจะทูลอาราธนาพระองค์ตรัสบอกทางแห่งพรหมโลกแก่ท่านพระศาสดาได้ตรัสตอบคำถามของพราหมณ์นั้นว่า พราหมณ์ การแลดูสาวกของเราด้วยจิตอันเลื่อมใสเพียงครู่เดียว หรือการถวายอาหารวัตถุเพียงภิกษาทัพพีเดียว มีผลมากกว่าทานที่ให้อย่างนั้น เป็นเวลา 100 ปี

 จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 106 ว่า

      มาเส มาเส สหสฺเสน
      โย ยเชถ สตํ สมํ
      เอกญฺจ ภาวิตตฺตานํ
      มุหุตฺตมปิ ปูชเย
      สา เยว ปูชนา เสยฺโย
      ยญฺเจ วสฺสสตํ หุตํฯ

      ถึงจะบูชาโลกิยชนด้วยทรัพย์พันหนึ่ง
      ทุกๆเดือน ตลอดเวลา 100 ปี
      ยังสู้บูชาพระอริยเจ้า ผู้อบรมแล้วองค์เดียว
      เพียงชั่งครู่ ไม่ได้
      การบูชาเพียงชั่วครู่นั่นแหละประเสริฐกว่า
      การบูชาตลอด 100 ปี จะประเสริฐอะไร.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง พราหมณ์นั้นบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ชนแม้เหล่าอื่นเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.

----------------------------------------------------------------------------

06.เรื่องพราหมณ์ผู้เป็นหลานของพระสารีบุตรเถระ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภหลานของพระสารีบุตรเถระ ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 107 นี้

 ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรเถระได้สอบถามหลานพราหมณ์หลานชายของท่านว่า ได้ทำกุศลอะไรไว้บ้างหรือยัง หลานของท่านตอบว่า ได้ฆ่าสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งบูชายัญทุกๆเดือน โดยหวังว่าจะได้ไปเกิดในพรหมโลกในชาติหน้า พระสารีบุตรเถระได้อธิบายให้พราหมณ์ผู้เป็นหลานชายทราบว่า
 เธอไม่รู้ทางแห่งพรหมโลกเลย แม้พวกอาจารย์ของเธอก็ไม่รู้ มาเถิด เราจักไปสำนักของพระศาสดาด้วยกัน
จากนั้น พระสารีบุตรเถระได้พาหลานชายไปเฝ้าพระศาสดา และพระศาสดาได้ตรัสบอกทางแห่งพรหมโลกแก่พราหมณ์นั้น ว่า พราหมณ์ การบูชาไฟของท่านผู้บูชาไฟอย่างนั้น 100 ปี ย่อมไม่เท่ากับการบูชาสาวกของเรา เพียงขณะเดียว
 จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 107 ว่า
      โย จ วสฺสสตํ ชนฺตุ
      อคฺคึ ปริจเร วเน
      เอกญฺจ ภาวิตตฺตานํ
      มุหุตฺตมปิ ปูชเย
      สา เยว ปูชนา เสยฺโย
      ยญฺเจ วสฺสสตํ หุตํฯ

      ถึงจะบูชาไฟในป่าอยู่ร้อยปี
      ยังสู้บูชาพระอริยเจ้า
      ผู้มีตนอบรมแล้วองค์เดียว
      เพียงชั่วครู่ไม่ได้
      การบูชาพระอริยเจ้าเพียงครู่เดียว
      นั่นแหละ ประเสริฐกว่า
      การบูชาไฟร้อยปีจะประเสริฐอะไร.

เมื่อจบพระสัทธรรมธรรมเทศนา พราหมณ์นั้นบรรลุโสดาปัตติผล ชนแม้เหล่าอื่นเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.

------------------------------------------------------------

07. เรื่องพราหมณ์ผู้เป็นสหายของพระสารีบุตรเถระ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพราหมณ์ผู้เป็นสหายของพระสารีบุตรเถระ ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 108 นี้

 ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรเถระได้ถามพราหมณ์สหายของท่านว่า ได้ทำกุศลอะไรไว้บ้างหรือยัง พราหมณ์ตอบว่า ได้ทำการบูชายัญไว้เป็นอันมากแล้ว โดยหวังว่าจะได้ไปเกิดในพรหมโลกในชาติหน้า พระสารีบุตรเถระบอกกับพราหมณ์นั้นว่า พราหมณ์ ท่านไม่รู้ทางแห่งพรหมโลกเลย แม้พวกอาจารย์ของท่านก็ไม่รู้ มาเถิด เราจักไปสำนักของพระศาสดาด้ายกันแล้วได้พาพราหมณ์ผู้หลานไปทูลถามเรื่องนี้ต่อพระศาสดา พระศาสดาได้ตรัสว่า พราหมณ์ ทานที่ท่านบูชาอย่างที่เขาบูชากัน ให้แก่โลกิยมหาชนทั้งปี ย่อมไม่ถึงแม้เพียงส่วน4 แห่งกุศลเจตนาที่เกิดขึ้นแก่คนทั้งหลาย ผู้ไหว้สาวกของเราด้วยจิตที่เลื่อมใส

 จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 108 ว่า

      ยงฺกิญจิ ยิฏฺฐํ จ หุตํ จ โลเก
      สํวจฺฉรํ ยเชถ ปุญฺญเปกฺโข
      สพฺพมฺปิ ตํ น จตุภาคเมติ
      อภิวาทนา อุชฺชุคเตสุ เสยฺโยฯ

      ผู้ต้องการบุญ ทำการเซ่นสรวงบูชา
      อย่างใดอย่างหนึ่งในโลก ตลอดปี
      การเซ่นสรวงบูชาทั้งปวงนั้น
      มีค่าไม่ถึงส่วนที่ 4
      ของบุญที่ได้จากอภิวาท
      ในพระอริยเจ้าผู้ปฏิบัติตรง.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง พราหมณ์นั้นได้บรรลุพระโสดาปัตติผล ชนแม้เหล่าอื่นเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.

----------------------------------------------

08. เรื่องอายุวัฒนกุมาร

พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยทีฆลัมพิกนคร ประทับอยู่ ณ กุฎีในป่า ทรงปรารภกุมารผู้มีอายุยืน ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 109

ครั้งหนึ่งมีพราหมณ์ 2 คนชาวทีฆลัมพิกนคร บวชบำเพ็ญตบะอยู่ด้วยกันเป็นเวลา 48 ปี ต่อมาพราหมณ์คนหนึ่งสึกออกไปเป็นฆราวาสและได้แต่งงานมีครอบครัว หลังจากภรรยาของพราหมณ์ผู้นี้คลอดบุตรออกมาเป็นชายแล้ว พราหมณ์ก็ได้พาภรรยากับบุตรไปเยี่ยมพราหมณ์ที่ยังบวชบำเพ็ญตบะอยู่นั้น เมื่อสองสามีภรรยาทำความเคารพ พราหมณ์นักบวชได้กล่าวว่า ขอท่านจงเป็นผู้มีอายุยืนแต่พอตอนที่สองสามีภรรยาให้บุตรชายทำความเคารพ พราหมณ์นั้นกลับนิ่ง ไม่พูดอะไร พราหมณ์ที่สึกออกไปมีครอบครัวเกิดความสงสัย จึงได้สอบถามถึงเหตุผลที่เงียบนั้น พราหมณ์จึงบอกว่าทารกคนนี้จะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 7 วัน ซึ่งตนก็ไม่ทราบวิธีป้องกันการเสียชีวิตของทารกนี้ และได้แนะนำให้ไปทูลถามพระศาสดา

ดังนั้นสองสามีภรรยาจึงอุ้มบุตรไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อคนทั้งสองนสัสการ พระศาสดาตรัสว่า ขอท่านจงเป็นผู้มีอายุยืนแต่พอพาเด็กเข้าไปนมัสการ พระศาสดากลับทรงนิ่งเสีย และได้ทรงทำนายว่าเด็กคนนี้จะเสียชีวิตภายใน 7 วันเหมือนกัน แต่พระศาสดาได้ตรัสบอกวิธีที่จะป้องกันทารกจากเสียชีวิต โดยให้สร้างมณฑปไว้ที่ประตูเรือนของพราหมณ์ แล้วนำเด็กขึ้นไปนอนบนมณฑปนั้น จากนั้นก็ให้นิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์สวดพระปริตรเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งพราหมณ์ก็ได้กระทำตามที่ทรงแนะนำทุกอย่าง

ในวันที่ 7 พระศาสดาได้เสด็จมายังมณฑปนั้นด้วย พวกเทวดาในจักรวาลทั้งสิ้นก็ได้มาประชุมกัน ณ ที่นั้นด้วย ในขณะนั้น อวรุทธยักษ์ตนหนึ่งได้มาที่ประตูบ้านเพื่อคอยจังหวะที่จะจับเด็กทารกนั้นไปกิน แต่เมื่อมีเทวดาศักดิ์ใหญ่มากันมาก พวกเทวดาศักดิ์น้อยก็จะต้องถอยร่นเพื่อเปิดที่ให้ อวรุทธกยักษ์ก็ต้องถอยร่นไปอยู่ไกลจากเด็กทารกนั้นถึง 12 โยชน์ ตลอดคืนที่ 7 นั้นพระภิกษุสงฆ์ก็ได้เจริญพระปริตรอยู่อย่างนั้นจนสว่าง ทำให้อวรุทธยักษ์ไม่สามารถเข้ามาจับทารกนั้นไปกินได้ พออรุณขึ้นสองสามีภรรยานำทารกมาถวายบังคมพระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า ขอเจ้าจงมีอายุยืนเถิดเมื่อสองสามีภรรยาทูลถามว่าทารกจะมีอายุยืนกี่ปี พระศาสดาตรัสว่าจะมีอายุยืน 120 ปี สามีภรรยาจึงตั้งชื่อเด็กทารกว่า อายุวัฒนกุมาร

เมื่ออายุวัฒนกุมารเติบโตแล้ว เวลาไปไหนมาไหนก็มีผู้ติดตามไปเป็นบริวารถึง 500 คน วันหนึ่งอายุวัฒนกุมารพร้อมกับบริวารได้มาที่วัดพระเชตวัน ภิกษุทั้งหลายจำได้ จึงทูลถามพระศาสดาว่า เหตุเครื่องเจริญอายุของสัตว์เหล่านี้ เห็นจะมีพระศาสดาตรัสตอบภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ว่า โดยการนอบน้อมท่านผู้สูงอายุ มิใช่ว่าจะทำให้อายุยืนเท่านั้น แต่ยังจะเป็นเหตุให้ได้วรรณะ สุขะ และพละ อีกด้วย

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถาที่ 109 ว่า

      อภิวาทนสีลิสฺส
      นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน
      จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ
      อายุ วณฺโณ สุขํ พลํฯ

      ผู้ชอบกราบไหว้ นอบน้อม
      ผู้ใหญ่เป็นนิตย์
      จะเจริญด้วยพร 4 ประการ
      คือ มีอายุยืน มีผิวพรรณผุดผ่อง
      มีความสุข มีพลานามัยแข็งแรง.

เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนา อายุวัฒนกุมาร และบริวาร 500 คน ได้บรรลุโสดาปัตติผล แม้ชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก ก็ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
---------------------------------------------------------------------

09. เรื่องสังกิจจสามเณร

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภสังกิจจสามเณร ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 110 นี้

ครั้งหนึ่งพระภิกษุ 30 รูปเรียนกัมมัฏฐานจากพระศาสดาแล้ว เดินทางจากนครสาวัตถี ไปหาถิ่นสัปปายะปฏิบัติธรรมอยู่ในวัดหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปถึง 120 โยชน์ ในขณะนั้นมีพวกโจรห้าร้อยอาศัยอยู่ในป่าทึบ และพวกโจรเหล่านี้ต้องการเนื้อและเลือดมนุษย์ไปบูชายัญเทวดาเจ้าป่า ดังนั้นพวกโจรจึงได้มาที่วัดที่พระภิกษุทั้งหลายพำนักอยู่ พร้อมกับบังคับขู่เข็ญจะนำภิกษุรูปหนึ่งไปฆ่าเพื่อบูชายัญเทวดา ภิกษุทุกรูปตั้งแต่ผู้มีพรรษามากที่สุดจนกระทั่งรูปที่มีพรรษาน้อยที่สุดต่างอาสาตัวไปกับพวกโจรทั้งนั้น ในหมู่ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ ก็ยังมีสามเณรน้อยรูปหนึ่งชื่อสังกิจจะ ได้ถูกส่งไปอยู่ ณ ที่นั้นด้วย พระสารีบุตรเถระเป็นผู้ส่งสามเณรซึ่งมีอายุเพียง 7 ขวบแต่เป็นผู้สำเร็จพระอรหันต์รูปนี้ไป สามเณรกิจจะได้กล่าวกับพระภิกษุทั้งหลายว่า ที่พระสารีบุตรพระอุปัชฌาย์ของท่านส่งท่านมาอยู่กับภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ ก็เพราะรู้ล่วงหน้าถึงอันตรายที่จะบังเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นท่านจึงขออาสาไปกับพวกโจร เมื่อสามเณรกล่าวอำลาภิกษุทั้งหลายแล้วก็ได้เดินทางไปกับพวกโจร ขณะที่ภิกษุทั้งหลายก็สึกเสียใจที่ต้องปล่อยให้สามเณรน้อยไปกับโจรเช่นนี้ เมื่อพวกโจรตระเตรียมสิ่งของในพิธีบูชายัญเสร็จเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าโจรก็ได้เดินมาหาสามเณร ซึ่งขณะนั้นกำลังนั่งเข้าฌานอยู่ แล้วแกว่งดาบฟันลงที่คอของสามเณร แต่ดาบนั้นงอคมกระทบกัน หัวหน้าโจรนั้นสำคัญว่าฟันไม่ดี จึงดัดดาบนั้นให้ตรงแล้วฟันลงไปที่คอของสามเณรอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ดาบนั้นนก็มีอันงอพับถึงโคนดาบ เมื่อพบกับปาฏิหาริย์ที่เหลือเชื่อเช่นนี้เข้า หัวหน้าโจรก็ได้วางดาบเข้าไปซบอยู่ที่ใกล้เท้าของสามเณร แล้วกล่าวคำขอโทษ พวกโจรทั้งห้าร้อยที่มองเห็นเหตุการณ์มหัศจรรย์ในครั้งนี้ ต่างก็กล่าวเข้าไปไหว้และขอบรรพชา สามเณรก็ได้บรรพชาให้แก่โจรเหล่านั้น

จากนั้นสามเณรสังกิจจะก็ได้พาสามเณรอดีตโจร 500 รูปกลับไปหาพระภิกษุที่พำนักอยู่ในวัดที่อยู่ในหมู่บ้านนั้น พอภิกษุ 30 รูปเห็นสามเณรปลอดภัยก็เกิดความโล่งอกเบาใจ หลังจากนั้นสามเณรสังกิจจะก็ได้พาสามเณรใหม่อดีตโจรเดินทางต่อไปเพื่อไปกราบพระสารีบุตรเถระในวัดพระเชตวัน

จากนั้นพระสารีบุตรเถระได้พาคณะของสามเณรกิจจะเข้าไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อพระศาสดาทรงสดับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วได้ตรัสว่า ความตั้งอยู่ในศีลแล้วเป็นอยู่แม้วันเดียวในบัดนี้ ประเสริฐกว่าการที่ท่านทำโจรกรรมตั้งอยู่ในทุศีลเป็นอยู่ตั้ง 100 ปี

ต่อจากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 110 ว่า

      โย จ วสฺสสตํ ชีเว
      ทุสฺสีโล อสมาหิโต
      เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
      สีลวนฺตสฺส ฌายิโนฯ

      เป็นคนทุศีล มีใจไม่ตั้งมั่น
      ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี ก็สู้คนมีศีล
      มีใจตั้งมั่น มีชีวิตอยู่แค่วันเดียว ไม่ได้.

 เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ภิกษุ 500 รูปก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย พระสัทธรรมเทศนาก็ยังมีประโยชน์แก่มหาชนผู้มาประชุมกัน.

------------------------------------------------------------------------

10. เรื่องพระขานุโกณฑัญญเถระ

 พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระขานุโกณฑัญญเถระ ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 111 นี้



พระขานุโกณฑัญญเถระ เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระศาสดาแล้วไปปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ขณะที่ท่านเดินทางกลับมาเพื่อจะกราบทูลพระศาสดา ท่านรู้สึกอ่อนเพลียก็ได้แวะลงจากทาง ไปนั่งเข้าฌานอยู่บนศิลาดาดแห่งหนึ่ง ในขณะนั้นพวกโจรห้าร้อยคนปล้นหมู่บ้านแห่งหนึ่งแล้วเอาสิ่งของที่ปล้นมาได้นั้นทำเป็นห่อคนละห่อเทินศีรษะเดินมา รู้สึกอ่อนเพลียมาก จึงแวะลงข้างทางเดินไปตรงจุดที่พระโกณฑัญญเถระนั่งเข้าฌานอยู่พอดี พวกโจรเห็นพระเถระเข้าใจว่าเป็นตอไม้ เพราะตอนนั้นมืดค่ำแล้ว โจรคนหนึ่งวางห่อสิ่งของที่ปล้นมาได้ลงบนศีรษะของพระเถระ ส่วนคนอื่นๆก็วางสิ่งของของตนพิงพระเถระไว้ จากนั้นก็แยกกันนอนหลับอยู่ในบริเวณนั้น พอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าจะไปเอาของของตนก็ได้พบว่า สิ่งที่ตนคิดว่าเป็นตอไม้นั้นความจริงเป็นสิ่งมีชีวิต พวกโจรเข้าใจว่าพระเถระ เป็นอมนุษย์และพากันเตรียมจะวิ่งหนี แต่พระเถระได้กล่าวกับพวกโจรว่า อย่าได้กลัวไปเลย ท่านเป็นบรรพชิต ไม่ได้เป็นอมนุษย์ โจรเหล่านั้นจึงหมอบลงที่ใกล้เท้าพระเถระแล้วกล่าวคำขอขมาโทษ จากนั้นพวกโจรทุกคนได้ขอบรรพชากับพระเถระ และพระเถระก็ได้ให้โจรทั้งหมดบรรพชาตามประสงค์ ตั้งแต่นั้นมาพระเถระจึงได้มีนามว่า ขานุโกณฑัญญะ”(พระโกญญัญญะตอไม้)

พระโกณฑัญญเถระ พร้อมด้วยคณะพระภิกษุผู้บวชใหม่ ก็ได้เดินทางไปเฝ้าพระศาสดา และได้กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ พระศาสดาจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นอยู่แม้วันเดียวของพวกเธอ ผู้ประพฤติในปัญญาสัมปทาในบัดนี้ ประเสริฐกว่าความตั้งอยู่ในกรรมของผู้มีปัญญาทรามเช่นนั้น เป็นอยู่ตั้ง 100 ปี

 จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 111 ว่า

      โย จ วสฺสสตํ ชีเว
      ทุปฺปญฺโญ อสมาหิโต
      เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
      ปญฺญวนฺตสฺส ฌายิโนฯ

      ผู้มีปัญญาทราม มีใจไม่ตั้งมั่น
      ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
      ก็สู้คนมีปัญญา มีใจตั้งมั่น
      มีชีวิตอยู่แค่วันเดียว ไม่ได้.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ภิกษุทั้ง 500 รูป บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย พระสัทธรรมเทศนา ได้มีประโยชน์แก่มหาชนผู้มาประชุมกัน.

----------------------------------------------------------

11.พระสัปปทาสเถระ

 พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระสัปปทาสเถระ ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 112

ครั้งหนึ่ง มีภิกษุรูปหนึ่งมีความเบื่อหน่ายที่จะครองเพศเป็นภิกษุ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกว่าเป็นการไม่สมควรที่ตนจะสึกออกไปเป็นคฤหัสถ์ จึงมีความคิดว่าตนเองควรจะฆ่าตัวตายในขณะที่ยังมีเพศเป็นพระภิกษุนี่แหละ หลังจากที่คิดเช่นนี้แล้ว อยู่มาวันหนึ่งก็ได้พยายามจะฆ่าตัวตายโดยล้วงมือเข้าไปหม้อที่เขาขังงูเอาไว้โดยจะให้งูกัดตาย แต่งูไม่ยอมกัดเพราะในอดีตชาติงูตัวนี้เคยเป็นทาสของภิกษุมาก่อน จากเหตุการณ์ครั้งนี้นี่เอง พระเถระจึงได้นามว่า พระสัปปทาสเถระ พระเถระได้พยายามฆ่าตัวตายเป็นครั้งที่สอง โดยกะจะเอามีดโกนเฉือนคอของตนเองให้ตาย แต่ขณะที่จ่อมีดโกนเข้าที่ก้านคออยู่นั้น ก็ได้ใคร่ครวญถึงศีลของตน ตั้งแต่อุปสมบทมา เห็นว่าตนมีศีลบริสุทธิ์ ดังดวงจันทร์ปราศจากมลทิน และดังดวงมณีที่ขัดดีเกิดปีติปราโมทย์ซาบซ่าทั่วร่างกาย เมื่อข่มปีติได้แล้ว ก็ได้เจริญวิปัสสนา จนได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ท่านจึงถือมีดโกนเดินเข้าไปในวัด

เมื่อเดินไปถึงที่วัดแล้ว พระภิกษุอื่นๆเห็นจึงถามท่านว่า ท่านไปไหนมาและทำไมถึงถือมีดโกนเดินมาอย่างนี้ ท่านบอกว่าท่านกะฆ่าตัวตายด้วยการใช้มีดโกนเชือดคอ เมื่อพวกพระถามว่าแล้วทำไมถึงไม่ยอมเชือดคอให้ตายเสียล่า ท่านได้ตอบว่า แต่แรกผมก็ตั้งใจว่าจะเอามีดโกนนี้ตัดคอของคนเอง แต่ตอนนี้ได้ตัดกิเลสเสียสิ้นด้วยมีดโกนคือญาณ

พวกภิกษุไม่เชื่อในคำกล่าวอ้างของท่าน และได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลถามว่า พระเจ้าข้า ภิกษุรูปนี้อ้างว่าตนได้บรรลุอรหัตแล้ว ในขณะที่กำลังเอามีดจ่อคอจะฆ่าตัวตาย เป็นไปได้ละหรือที่ท่านจะบรรลุพระอรหัตได้ในช่วงเวลาสั้นๆเช่นนั้นพระศาสดาตรัสว่า เป็นอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุผู้ปรารภความเพียร ยกเท้าวางบนพื้น เมื่อเท้ายังไม่ทันถึงพื้นเลย พระอรหัตตมรรคก็ได้เกิดขึ้น แท้จริง ความเป็นอยู่แม้เพียงชั่วขณะของท่านผู้ปรารภความเพียร ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ 100 ปีของบุคคลผู้เกียจคร้าน

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 112 ว่า

      โย จ วสฺสสตํ ชีเว
      อปสฺสํ อุทยพฺพยํ
      เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
      ปสฺสโต อุทยพฺพยํฯ
      ผู้ไม่เห็นความเกิดดับ

      ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
      สู้ผู้ที่เห็นความเกิดดับ
      มีชีวิตอยู่แค่วันเดียว ไม่ได้.

 เมื่อสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
---------------------------------------------------------------------

12. เรื่องนางปฏาจารา

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระปฏาจาราเถรี ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 113 นี้

นางปฏาจารา เป็นธิดาเศรษฐีผู้มีสมบัติ 40 โกฏิในกรุงสาวัตถี เป็นหญิงรูปงามมาก ในตอนที่นางมีอายุ 16 ปี แม้ว่ามารดาบิดาจะเคร่งครัดมากถึงกับกักตัวให้ไปอยู่บนปราสาท 7 ชั้น แต่นางก็ไม่วายจะมีความสัมพันธ์ลับๆกับคนใช้ของนางคนหนึ่ง และในที่สุดทั้งสองคนก็ได้หนีตามกันไปอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ช่วยกันทำมาหากินตามประสายากจน เมื่ออยู่ร่วมฉันสามีภรรยากันมาไม่นาน นางก็ตั้งครรภ์บุตรคนแรก เมื่อครรภ์แก่ใกล้จะคลอดนางได้ขออนุญาตสามีจะเดินทางกลับไปคลอดบุตรในเรือนของบิดามารดาในกรุงสาวัตถี แต่สามีคัดค้านไม่ให้ไป วันหนึ่งตอนที่สามีไม่อยู่นางแอบได้เดินทางกลับไปที่กรุงสาวัตถีโดยลำพังและได้คลอดบุตรในระหว่างทาง สามีได้ติดตามไปพบแล้วนำตัวนางกับลูกกลับมาอยู่ที่หมู่บ้านตามเดิม

 ต่อมานางก็ตั้งครรภ์บุตรคนที่สอง และเมื่อครรภ์แก่นางก็ได้ลักลอบเดินทางจะกลับไปที่บ้านพ่อแม่ของนางที่กรุงสาวัตถีโดยได้พาบุตรคนแรกตามไปด้วย ข้างสามีก็ได้ติดตามนางไปเพื่อจะตามให้กลับ แต่แม้จะอ้อนวอนอย่างไรนางก็ไม่ยอมกลับ

ในที่สุดนางก็เกิดปวดท้องคลอดขึ้นมาอย่างกะทันหัน และในขณะเดียวกันก็ได้เกิดพายุฝนตกลงมาอย่างหนัก สามีจึงต้องออกหาที่สำหรับให้ภรรยาคลอดฉุกเฉิน ขณะที่เขากำลังถือมีดเดินหาที่เหมาะสำหรับให้ภรรยาคลอดอยู่นั้น ก็ได้เห็นจอมปลวกแห่งหนึ่งเป็นทำเลที่เหมาะมาก เขาจึงเอามีดถางหญ้าให้เตียน และก็เผอิญมีอสรพิษตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากจอมปลวกกัดเขาจนเสียชีวิต นางปฏาจารามองทางรอคอยสามีกลับมาและในที่สุดก็ได้คลอดบุตรคนที่สองออกมา พอถึงรุ่งเช้านางก็ใช้มือข้างหนึ่งอุ้มบุตรที่คลอดใหม่เข้าสะเอว และใช้มืออีกข้างหนึ่งจูงบุตรออกเที่ยวเดินหาสามีจนไปพบศพนอนตายอยู่ที่ข้างจอมปลวก นางรำพึงรำพันว่าที่สามีมาตายครั้งนี้ก็เพราะนางแท้ๆ และนางก็ได้เดินทางต่อเพื่อจะไปที่นครสาวัตถี

นางไปถึงแม่น้ำอจิรวดี เห็นน้ำขึ้นมากอยู่ในระดับราวนมเนื่องจากฝนตกหนักตลอดคืนยังรุ่ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะเดินข้ามแม่น้ำโดยพาบุตรสองคนไปพร้อมๆกัน นางจึงใช้วิธีปล่อยบุตรคนโตไว้ที่ริมตลิ่ง แล้วอุ้มบุตรที่คลอดใหม่อายุแค่วันเดียวข้ามไปก่อน แล้ววางทารกไว้ที่ริมตลิ่งอีกฟากหนึ่ง จากนั้นนางก็ได้ข้ามน้ำกลับไปเพื่อจะพาบุตรคนโตข้ามมาอีก แต่ขณะที่นางอยู่กลางแม่น้ำนั่นเอง ก็มีเหยี่ยวใหญ่ตัวหนึ่งบินมาเห็นทารกนอนอยู่ที่ริมตลิ่งคิดว่า เป็นชิ้นเนื้อจึงบินโฉบลงมา นางเห็นเช่นนั้นจึงป้องปากไล่นกให้ตกใจแต่ก็ไม่เป็นผล ข้างบุตรคนโตได้ยินมารดาตะโกนไล่นกเข้าใจว่ามารดาเรียกตนให้ลงไปหา จงเดินลงน้ำและได้ถูกกระแสน้ำพัดหายไป ด้วยเหตุนี้นางปฏาจาราจึงสูญเสียบุตรทั้งสองคนและสามีในเวลาไล่เลี่ยกัน

นางปฏาจาราเดินร้องไห้รำพันว่า บุตรของเราคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดพาไป สามีก็มาตายเสียเพราะถูกงูพิษกัดในที่เปลี่ยวนางมาพบชายผู้หนึ่งเดินมาแต่กรุงสาวัตถี จึงถามถึงบิดามารดา ชายผู้นั้นตอบว่า เนื่องจากเมื่อคืนนี้ฝนตกหนักมาก บ้านของบิดาของนางได้พังถล่มลงมาทับทั้งพ่อแม่และพี่ชายของนางเสียชีวิตทั้งหมด และศพของคนทั้งสามได้ถูกเผารวมกันในเชิงตะกอนเดียวกันเรียบร้อยไปแล้ว พอนางปฏาจาราได้ข่าวร้ายซ้ำเติมเข้ามาอีก ก็ถึงกับวิกลจริต เดินโซซัดโซเซร้องไห้รำพันบ่นเพ้อไปว่า บุตร 2 คนตายเสียแล้ว สามีของเรา ก็ตายเสียที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนอันเดียวกันนางไม่รู้สึกตัวแม้ว่าผ้านุ่งจะหลุดลุ่ยออกจากกาย วิ่งกระเซอะกระเซิง ปากร้องตะโกนรำพึงรำพันไปตามถนนสายต่างๆ ผู้คนพบเห็นต่างก็ใช้ก้อนดินก้อนหินขว้างปาไล่นางให้หนีไป

พระศาสดาประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางพุทธบริษัท 4 ในเชตวันมหาวิหาร ได้ทอดพระเนตรเห็นนางผู้บำเพ็ญบารมีมาแสนกัป เดินมาแต่ไกล พระองค์ดำริว่า เว้นเราเสีย ผู้อื่นชื่อว่าสามารถจะเป็นที่พึ่งของหญิงผู้นี้ได้ ไม่มีจึงได้ดลจิตให้นางเดินทางไปสู่พระเชตวัน เหล่าพุทธบริษัทเมื่อเห็นนางมาจึงพยายามขวัดขวางมิให้นางเข้าไปในวัด แต่พระศาสดาตรัสว่า พวกท่านจงหลีกไป อย่าห้ามเธอเลยเมื่อนางเข้ามาใกล้ จึงตรัสว่า จงกลับได้สติเถิด น้องหญิงนางกลับได้สติด้วยพุทธานุภาพ เกิดความละอายใจที่ร่างกายท่อนล่างไม่ได้สวมใส่อะไร จึงนั่งคุกเขาลง ชายผู้หนึ่งจึงได้โยนผ้าห่มไปให้นาง นางนุ่งผ้าห่มนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แทบพระบาททั้งสอง ทูลว่า ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึงแก่หม่อมฉันเถิด พระเจ้าข้า เพราะว่าเหยี่ยวเฉี่ยวบุตรคนหนึ่งของหม่อมฉันไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดพาไป สามีตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนถล่มทับ ถูกเผาบนเชิงตะกอนอันเดียวกัน

พระศาสดาตรัสกับนางว่า อย่าคิดเลย ปฏาจารา เธอมาสู่สำนักของเราผู้สามารถจะเป็นที่พึ่งพำนักอาศัยของเธอได้แล้ว ตลอดสังสารวัฏนี้ น้ำตาที่ไหลออกของเธอผู้ร้องไห้อยู่เมื่อปิยชนทั้งหลาย คือ บุตร สามี บิดามารดา และพี่ชาย เสียชีวิตไปนี้ มีปริมาณมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4 เสียอีกจากนั้นพระศาสดาได้ทรงแสดง อนมตัคคสูตร ทำลายความเศร้าโศกของนางให้เบาบางลง ต่อแต่นั้นได้ตรัสเตือนว่า ปฏาจารา ขึ้นชื่อว่าปิยชนมีบุตรเป็นต้น ไม่อาจเป็นที่ต้านทาน เป็นที่พึ่ง หรือเป็นที่ป้องกันของผู้ไปสู่ปรโลกได้ เพราะฉะนั้น บุตรเป็นต้นเหล่านั้นถึงมีอยู่ ก็ชื่อว่าย่อมไม่มีทีเดียว ส่วนบัณฑิตชำระศีลแล้ว ควรชำระทางที่ยังสัตว์ให้ถึงนิพพานของตนเท่านั้นเมื่อได้สดับเช่นนี้แล้วนางปฏาจาราก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล

 เมื่อนางได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีแล้ว จึงมีชื่อว่า ปฏาจารา” (แปลว่า ผู้กลับความประพฤติได้ หรือ ผู้มีความประพฤติเว้นจากผืนผ้า) วันหนึ่ง นางเอาหม้อตักน้ำล้างเท้าเทน้ำลงไป ในครั้งแรกน้ำไหลไปได้เพียงนิดหน่อยก็หยุด ครั้งที่สองน้ำที่นางเทลงไปไหลไปได้ไกลกว่าครั้งแรก และครั้งที่สาม น้ำที่เทลงไปไหลไปได้ไกลมากยิ่งขึ้น นางได้ถือเอาการไหลไปของน้ำเป็นคติสอนใจ ให้เห็นความจริงเกี่ยวกับวัยทั้ง 3 ของสัตว์ทั้งหลาย ว่า สัตว์ทั้งหลาย ตายเสียในปฐมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งแรก ตายเสียในมัชฌิมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งสอง ไหลไปไกลกว่าครั้งแรก ตายเสียในปัจฉิมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เทลงครั้งที่สาม ไปได้ไกลกว่าครั้งที่สอง

 พระศาสดาประทับในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไป เป็นดังประทับยืนตรัสอยู่เฉพาะหน้าของนาง ตรัสว่า ปฏาจารา เป็นอย่างนั้น ด้วยว่าความเป็นอยู่วันเดียวก็ดี ขณะเดียวก็ดี ของผู้เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งปัญจขันธ์เหล่านั้น ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ 100 ปี ของผู้ไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งปัญจขันธ์
 จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถาที่ 113 ว่า

      โย จ วสฺสสตํ ชีเว
      อปสฺสํ อุทยพฺพยํ
      เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
      ปสฺสโต อุทยพฺพยํฯ

      ผู้ไม่เห็นความเกิดดับ
      ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
      สู้ผู้ที่เห็นความเกิดดับ
      มีชีวิตอยู่แค่วันเดียว ไม่ได้.
      เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง นางปฏาจารา ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.
----------------------------------------------------------------------------

13.เรื่องนางกิสาโคตมี

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางกิสาโคตมี ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 114 นี้

นางกิสาโคตมี เป็นธิดาของตระกูลเก่าแก่แห่งกรุงสาวัตถี ที่นางได้ชื่อว่า กิสาโคตมีเพราะมีรูปร่างบอบบาง นางแต่งงานกับบุตรเศรษฐี และให้กำเนิดบุตร 1 คน ต่อมาบุตรนั้นได้เสียชีวิตในช่วงที่กำลังหัดเดิน นางมีความเศร้าโศกเสียใจมีความอาลัยในบุตรมาก นางได้อุ้มบุตรที่เสียชีวิตนั้น เที่ยวตระเวนไปถามผู้คนบ้านโน้นบ้านนี้ ว่าจะต้องใช้ยาชนิดใดถึงจะรักษาบุตรให้กลับมามีชีวิตดังเดิมได้ ผู้คนที่เห็นต่างเข้าใจว่านางวิกลจริต แต่ก็มีบุรุษเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง เห็นนางแล้วคิดว่า หญิงผู้นี้คงจะคลอดบุตรท้องแรก ไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน ควรที่จะให้ความช่วยเหลือด้วยการแนะนำแนวทางที่ถูกที่ควรให้เขาจึงได้กล่าวกับนางว่า แม่หนู ฉันไม่รู้จักยาที่จะรักษาบุตรของนางหรอก แต่ฉันพอรู้จักคนผู้รู้จักยานั้น” “ผู้นั้นคือใครล่ะคะ” “พระศาสดานะสิ นางจงไปถามพระองค์เถิดนางจึงเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาและทูลถามถึงยาที่จะนำมาใช้รักษาบุตรของนางให้กลับฟื้นคนคืนชีพดังเดิม

 พระศาสดาได้ตรัสบอกให้นางไปหาเมล็ดพรรณผักกาดจากบ้านของคนที่ยังไม่เคยมีผู้ใดเสียชีวิต นางก็ได้กระเตงศพลูกตระเวนไปตามบ้านโน้นบ้านนี้ถามหาเมล็ดพรรณผักกาดนั้น ทุกครัวเรือนต่างมีเมล็ดพรรณผักกาด แต่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ว่าจะต้องเป็นเมล็ดพรรณผักกาดในเรือนของคนที่ยังไม่เคยมีใครตายเลยเท่านั้น นางจึงได้เริ่มตระหนักว่าครอบครัวของนางมิใช่ครอบครัวเดียวที่ต้องเผชิญกับความตาย และทุกบ้านล้วนมีคนตายมากกว่าคนเป็น เมื่อนางคิดได้ดังนี้แล้ว ท่าทีของนางที่มีต่อบุตรที่เสียชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป และได้เลิกยึดมั่นถือมั่นต่อซากศพของบุตร

นางจึงทิ้งศพบุตรไว้ในป่า แล้วไปยังสำนักพระศาสดา ถวายบังคมแล้วยืน ณ ที่สุดข้างหนึ่ง พระศาสดาตรัสถามนางว่า เธอได้เมล็ดพรรณผักกาดหยิบมือหนึ่งมาแล้วหรือ

นางกีสาโคตมีกราบทูลว่า ไม่ได้ พระเจ้าข้า เพราะในทุกบ้านล้วนมีคนตายมากกว่าคนเป็น

พระศาสดาตรัสว่า เธอเข้าใจว่า บุตรของเราเท่านั้นตาย ความตายนั่นเป็นสิ่งยั่งยืนสำหรับสัตว์ทั้งหลาย ด้วยว่า มัจจุราชฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมด ผู้มีอัธยาศัยยังไม่เต็มเปี่ยมนั่นแลลงในสมุทรคืออบาย ดุจห้วงน้ำใหญ่ฉะนั้นนางกีสาโคตมีเมื่อสดับความข้อนี้แล้ว ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล

หลังจากนั้นนางกีสาโคตมีได้ทูลขอบรรพชากับพระศาสดา และพระศาสดาได้ส่งนางไปบรรพชาในสำนักของนางภิกษุณี เมื่อนางได้อุปสมบทแล้วปรากฏชื่อว่า กีสาโคมตีเถรีวันหนึ่งเป็นเวรที่นางต้องไปจุดประทีปในโรงอุโบสถ นางเห็นเปลวประทีปลุกโพลงขึ้นและหรี่ลง ได้ถือเป็นอารมณ์ว่า สัตว์เหล่านี้ก็อย่างนั้นเหมือนกัน เกิดขึ้นและดับไปดังเปลวประทีป ผู้ถึงพระนิพพาน ไม่ปรากฏอย่างนั้น

พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไป ประหนึ่งประทับนั่งตรัสตรงหน้านาง ตรัสว่า อย่างนั้นแหละ โคตมี สัตว์เหล่านั้น ย่อมเกิดและดับเหมือนประทีป ถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ปรากฏอย่างนั้น ความเป็นอยู่แม้เพียงขณะเดียว ของผู้เห็นพระนิพพาน ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ 100 ปี ของผู้ไม่เห็นพระนิพพานอย่างนั้น

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถาที่ 114 ว่า

      โย จ วสฺสสตํ ชีเว
      อปสฺสํ อมตํ ปทํ
      เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
      ปสฺสโต อมตํ ปทํฯ

      ผู้ไม่เห็นทางอมตะ
      ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
      สู้ผู้เห็นทางอมตะ
      มีชีวิตอยู่แค่วันเดียว ไม่ได้.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง นางกีสาโคตมี ได้บรรลุพระอรหัตตผล พร้อมทั้งปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.
----------------------------------------------------------------------

14.เรื่องพระพหุปุตติกาเถรี

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระพหุปุตติกาเถรี ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 115 นี้

ครั้งหนึ่ง ในนครสาวัตถี มีตระกูลหนึ่ง มีบุตรชาย 7 คนและบุตรสาว 7 คน บุตรชายและบุตรสาวทั้ง 14 คนเมื่อเจริญวัยแล้ว ก็ได้แต่งงานและดำรงครอบครัวมีความสุขตามอัตภาพ ต่อมา บิดาของคนเหล่านั้นได้เสียชีวิตลง มารดาก็ยังเก็บสมบัติทั้งหมดเอาไว้โดยที่มิได้แบ่งให้แก่บุตรชายและบุตรสาวแต่อย่างใด บุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายต่างต้องการมรดกจึงได้กล่าวกับมารดาว่า จะมีประโยชน์อะไรที่แม่ต้องเก็บมรดกนี้ไว้ แม่ควรแบ่งมรดกให้แก่พวกเรา พวกเราก็จะช่วยกันคอยดูแลแม่พวกบุตรชายและบุตรหญิงต่างช่วยกันพูดกรอกหูมารดาอยู่ทุกวัน จนฝ่ายมารดาเชื่อว่าพวกเขาจะเลี้ยงดูตน นางจึงตัดสินใจแบ่งมรดกทั้งหมดให้แก่บุตรและธิดา โดยที่มิได้เก็บส่วนใดไว้สำหรับตนเองเลย

หลังจากที่ได้แบ่งมรดกกันไปเรียบร้อยแล้ว นางผู้มารดาก็ได้ไปอยู่กับบุตรชายคนหัวปีเป็นคนแรก ลูกสะใภ้คนโตได้บ่นว่า คุณแม่มาอยู่กับพวกเราที่นี่ ราวกับว่าแบ่งมรดกให้เรา 2 ส่วน กระนั้นแหละเมื่อได้ยินลูกสะใภ้คนโตพูดกระแนะกะแหนอย่างนั้น นางก็ได้ออกจากบ้านบุตรชายคนโตไปอยู่ที่บ้านของบุตรชายคนรอง แต่ก็ต้องพบกับคำบ่นว่ากระแนะกระแหนแบบเดียวกันนั้น ไม่ว่าจะไปที่บ้านใคร จะเป็นบ้านบุตรชายและบุตรสาวคนไหน ทุกคนล้วนมีปฏิกิริยาแบบเดียวกันหมดคือไม่ประสงค์จะเลี้ยงดูนาง

เมื่อนางถูกดูหมิ่นเช่นนี้ คิดว่า เรื่องอะไรเราถึงจะไปอยู่ตามบ้านของพวกลูกๆเหล่านี้ เราควรออกบวชเป็นภิกษุณีแล้วไปสู่สำนักของนางภิกษุณีขอบรรพชา ซึ่งนางภิกษุณีเหล่านั้นก็ไม่ขัดข้องได้ให้นางบรรพชาตามความปรารถนา เมื่อนางได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีแล้ว จึงมีชื่อว่า พหุปุตติกาเถรี(พระเถรีผู้มีบุตรมาก) นางมีความคิดว่า เรามาบวชตอนแก่ เราไม่ควรประมาทจึงใช้ความบากบั่นบำเพ็ญสมณธรรมตลอดคืนยังรุ่ง โดยนึกอยู่เสมอว่า จักทำตามธรรมที่พระศาสดาทรงแสดง

พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไปดังประทับนั่งตรงหน้า ตรัสกับนางว่า พหุปุตติกา ความเป็นอยู่แม้ครู่เดียว ของผู้เห็นธรรมที่เราแสดง ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ 100 ปี ของผู้ไม่นึกถึง ไม่เห็นธรรมที่เราแสดง

 จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 115 ว่า

      โย จ วสฺสสตํ ชีเว
      อปสฺสํ ธมฺมมุตฺตมํ
      เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
      ปสฺสโต ธมฺมมุตตมํฯ
    
      ผู้ไม่เห็นธรรมอันสูงสุด
      ถึงมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
      สู้ผู้เห็นธรรมอันสูงสุด
      มีชีวิตอยู่แค่วันเดียว ไม่ได้.

  เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง พระพหุปุตติกาเถรี ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น