05. เรื่องภิกษุว่ายาก
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน
ทรงปรารภภิกษุผู้ว่ายากรูปหนึ่ง
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า กุโส ยถา
เป็นต้น
ในกาลครั้งหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่ง ดึงหญ้าต้นหนึ่งขาดโดยไม่เจตนา
เมื่อเกิดความสงสัยว่าจะเป็นอาบัติหรือไม่
จึงไปถามภิกษุอีกรูปหนึ่ง
ซึ่งก็ได้รับคำตอบจากภิกษุหัวดื้อว่ายากรูปนี้ว่า “การดึงต้นหญ้าให้ขาดนี้ เป็นความผิดเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แค่ท่านแสดงอาบัติเท่านั้น ก็สามารถพ้นจากอาบัตินี้ได้ ท่านอย่าได้วิตกกังวลไปเลย”
พอพูดจบ
พระรูปที่อธิบายนั้นก็เอาสองมือถอนหญ้าเพื่อเป็นการพิสูจน์ความคิดของตนเองว่าการถอนหญ้าเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ภิกษุทั้งหลายได้นำความขึ้นกราบทูลพระศาสดา พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท สามพระคาถานี้ว่า
กุโส
ยถา ทุคฺคหิโต
หตฺถเมวานุกนฺตติ
สามญฺญํ
ทุปฺปรามฏฺฐํ
นิรยายูปกฑฺฒติ ฯ
ยงฺกิญฺจิ
สิถิลํ กมฺมํ
สงฺกิลิฏฺฐญฺจ
ยํ วตํ
สงฺกสฺสรํ
พฺรหฺมจริยํ
น
ตํ โหติ มหปฺผลํ ฯ
กยิรา
เจ กยิราเถนํ
ทฬฺหเมนํ
ปรกฺกเม
สิถิโล
หิ ปริพฺพาโช
ภิยฺโย
อากิรเต รชํ ฯ
หญ้าคาที่บุคคลจับไม่ดี
ย่อมตามบาดมือนั่นเอง ฉันใด
คุณเครื่องสมณะ ที่บุคคลลูบคลำไม่ดี
ย่อมคร่าเขาไปในนรก ฉันนั้น.
การงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่ย่อหย่อน
วัตรใดที่เศร้าหมอง
พรหมจรรย์ที่ระลึกด้วยความรังเกียจ
กรรมทั้ 3 อย่างนี้
ย่อมไม่มีผลมาก.
หากว่าบุคคลพึงทำกรรมใด
ควรทำกรรมนั้นจริง
ควรบากบั่นทำกรรมนั้นให้มั่น
เพราะว่าสมณธรรมเครื่องละเว้นที่ย่อหย่อน
ยิ่งเกลี่ยธุลีลง.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก
บรรลุอริยผลทั้งหลาย
มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ภิกษุแม้นั้น ดำรงอยู่ในความสังวรแล้ว ภายหลังเจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตตผล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น