วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

นาควรรค:03.เรื่องบุตรของพราหมณ์เฒ่า



03.เรื่องบุตรของพราหมณ์เฒ่า

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี  ทรงปรารภพวกบุตรของพราหมณ์เฒ่าคนใดคนหนึ่ง  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  ธนปาลโก  เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง  พราหมณ์ชราผู้หนึ่ง   อยู่ในกรุงสาวัตถี   มีทรัพย์อยู่  8 แสนกหาปณะ มีบุตรชายอยู่  4 คน  และเมื่อบุตรชายทั้ง 4 คนนี้แต่งงานแล้ว  พราหมณ์ชราได้แบ่งทรัพย์ให้บุตรคนละ  1  แสนกหาปณะ   ต่อมาเมื่อนางพราหมณีผู้ภรรยาเสียชีวิต  พวกลูกๆได้มาคอยดูแล  และเอาอกเอาใจพราหมณ์ชรา  เป็นอย่างดี   และพูดกล่อมพราหมณ์ชราว่าจะเลี้ยงดูให้มีความสุขจนตลอดชีวิต  พราหมณ์ชราหลงเชื่อก็จึงได้แบ่งทรัพย์ที่เหลืออยู่อีก 4  แสนกหาปณะนั้นให้บุตรอีกคนละ 1  แสนกหาปณะ  เป็นอันว่าตอนนี้  พราหมณ์ชราไม่มีเงินติดตัวแม้แต่เก๊เดียว 

พราหมณ์ชราก็ได้ไปอยู่กับบุตรชายคนหัวปีเป็นคนแรก   เมื่อไปอยู่ได้แค่ 2-3  วัน  ลูกสะใภ้ก็พูดว่า พ่อให้เงินลูกชายคนหัวปีมากกว่าคนอื่นเป็นร้อยเป็นพันกหาปณะหรืออย่างไร   ก็ให้แค่สองแสนเท่ากัน  พ่อน่าจะไปอยู่ที่บ้านของลูกชายคนอื่นบ้าง   เมื่อได้ยินคำพูดกระแทกแดกดันของลูกสะใภ้คนโตเช่นนั้น  พราหมณ์ชราก็โกรธมาก  และได้ออกจากบ้านบุตรชายคนหัวปีไปอยู่ที่บ้านของบุตรชายคนรอง   เมื่อไปอยู่ที่บ้านของบุตรชายคนรองได้เพียง2-3 วัน  ก็ได้ยินเสียงบ่นว่าในเชิงกระแนะกระแหนแบบเดิมจากปากของลูกสะใภ้คนรอง  พราหมณ์ชราก็ออกจากบ้านของบุตรชายที่ 2  ไปอาศัยอยู่ในบ้านของบุตรชายคนที่ 3  เมื่อไปได้ยินคำกระแนะกระแหนของลูกสะใภ้คนที่ 3  แบบเดียวกันนั้น  ก็โกรธแล้วออกจากบ้านของบุตรชายคนที่ 3 ไปอยู่ที่บ้านของบุตรชายคนที่  4   แต่พราหมณ์ชราก็ต้องไปพบกับปัญหาเดิมๆนั้นอีก   สรุปแล้วพราหมณ์ชราไปอยู่บ้านของบุตรชายคนไหนไม่ได้ทั้งนั้น   จึงได้กลายเป็นอนาถา  จนถึงกับต้องถือไม้เท้าและกระเบื้องออกขอทาน  ต่อมาพราหมณ์ชราได้เดินทางมาเฝ้าพระศาสดาเพื่อขอความอนุเคราะห์และคำแนะนำจากพระองค์

ที่วัดพระเชตวัน  พราหมณ์ชราได้กราบทูลพระศาสดาถึงเรื่องที่ตนถูกบุตรทั้ง 4 คนทอดทิ้ง เพราะถูกภรรยาของพวกเขายุยง  และได้ขอความอนุเคราะห์จากพระองค์   พระศาสดาได้ให้พราหมณ์ชราท่องจำพระคาถาและให้ไปกล่าวคาถาเหล่านี้ในที่ประชุมสภาประชาชนที่มีคนมาประชุมกันมากๆ   พระคาถามีใจความว่า ข้าพเจ้าจักเพลิดเพลินด้วยบุตรที่เกิดแล้วเหล่าใด  และปรารถนาความเจริญแก่บุตรเหล่าใด  บุตรเหล่านั้นถูกภรรยายุยง  ย่อมรุกรานข้าพเจ้า  เหมือนสุนัขรุกรานสุกรฉะนั้น  ได้ยินว่า  บุตรเหล่านั้นเป็นอสัตบุรุษ  เลวทราม  เรียกข้าพเจ้าว่า พ่อ  พ่อ  พวกเขาคือรากษส(มาแล้ว)  โดยรูปเพียงดังบุตร  ย่อมทอดทิ้งข้าพเจ้าผู้ถึงความเสื่อม(แก่)  บิดาแม้ของเหล่าพาลชน เป็นคนแก่  ต้องเที่ยวขอทานที่เรือนของชนเหล่าอื่น  เหมือนม้าแก่ใช้การงานไม่ได้  ถูกเขาพรากไปจากอาหารฉะนั้น  นัยว่า  ไม้เท้าของข้าพเจ้าแล  ยังประเสริฐกว่า  บุตรทั้งหลายไม่เชื่อฟัง  จะประเสริฐอะไร  เพราะไม้เท้ากันโคดุก็ได้  อนึ่ง  กันสุนัขก็ได้  มีไว้ยันข้างหน้าเวลามืดก็ได้  ใช้หยั่งลงไปในที่ลึกก็ได้  เพราะอานุภาพแห่งไม้เท้า  คนแก่เช่นข้าพเจ้า  พลาดแล้วก็กลับยืนขึ้นอีกได้   เมื่อเห็นพวกบุตรแต่งตัวเดินทางมาถึงที่ประชุมสภาประชาชนเรียบร้อยแล้ว  พราหมณ์ชราได้ขอโอกาสในที่ประชุมกล่าวคาถาเข้างต้นดังๆในที่ประชุมสภาประชาชนนั้น  ผู้คนทั้งหลายได้ยินก็แสดงอาการโกรธแค้น  เพราะว่าในครั้งนั้นมีกฎหมายบังคับว่า บุตรใดใช้สอยทรัพย์ที่เป็นของมารดาบิดา แต่ไม่เลี้ยงดูมารดาบิดา  บุตรนั้นต้องถูกฆ่า   เมื่อพวกบุตรได้ยินบิดาพูดประจานออกมาเช่นนั้น  ก็ตกใจรีบไปกราบลงที่เท้าของพราหมณ์ชรา วิงวอนว่า คุณพ่อครับ  ขอคุณพ่อโปรดไว้ชีวิตแก่พวกกระถมด้วยเถิด   พวกที่มาอยู่ในสภาประชาชนก็ได้พูดสำทับกับพวกบุตรของพราหมณ์ชราว่า  หากพวกท่านไม่ดูแลบิดาให้ดี   พวกเราก็จักฆ่าพวกท่านเสีย  พวกบุตรจึงได้ให้สัญญากับพราหมณ์ชราว่าจะคอยดูแล  ให้ความเคารพรัก ให้เกียรติบิดา    และก็ได้พาบิดากลับไปอยู่บ้าน  ได้ว่ากล่าวตักเตือนภรรยาให้คอยดูแลพราหมณ์ชราเป็นอย่างดี  โดยมีมาตรการลงโทษอย่างเด็ดขาดว่า ตั้งแต่นี้ไป  เธอทั้งหลายจงคอยดูแลบิดของพวกฉันให้ดี  ถ้าเธอทั้งหลายจักถึงความประมาท  พวกฉันจักลงโทษเธอทั้งหลาย   พวกลูกสะใภ้แต่ละคนจึงให้ความใส่ใจคอยดูแลในเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและเลี้ยงดูพราหมณ์ชราด้วยอาหารอย่างดี   พราหมณ์ชราจึงมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง  และระลึกถึงคุณงามความดีของพระศาสดาที่ได้ทรงช่วยเหลือจนทำให้ตนได้กลับมามีชีวิตอย่างมีความสุขอีกครั้งหนึ่ง  จึงได้นำผ้าคู่หนึ่งไปทูนถวายพระศาสดา  และกราบทูลอาราธนาพระองค์เสด็จไปฉันภัตตาหารที่บ้านทุกวัน  และก็ยังได้แนะนำให้พวกบุตรได้ถวายภัตตาหารแด่พระศาสดาด้วย

อยู่มาวันหนึ่ง  บุตรชายคนหัวปีของพราหมณ์ชราได้อาราธนาพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ 500 รูปไปฉันภัตตาหารที่บ้านของเขา  หลังจากเสร็จภัตตกิจแล้ว  พระศาสดาได้ตรัสถามบุตรทั้ง 4 คนของพราหมณ์ชราว่าได้ดูแลบิดาเป็นอย่างดีหรือไม่  เมื่อพวกบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ  ข้าพระองค์ทั้งหลาย  ได้ดูแลบิดาของพวกข้าพระองค์  ด้วยความไม่ประมาท  โปรดทอดพระเนตรร่างกายของท่านดูเถิด  พระศาสดาจึงได้ตรัสว่า ท่านทั้งหลายทำกรรมงามแล้ว  ชื่อว่าการเลี้ยงมารดาบิดา  โบราณกบัณฑิต (เคย)  ประพฤติมาแล้วเหมือนกัน  แล้วตรัสมาตุโปสกนาคชาดก  ในเอกาทสนิบาต  ซึ่งกล่าวถึงช้าง ธนปาลกะ  ช้างกตัญญูเลี้ยงบิดามารดา  เมื่อถูกจับมาขังไว้ในเมือง  ไม่ยอมกินหญ้า   เพราะคิดถึงและต้องการจะกลับไปหาบิดามารดาที่ยังอยู่ในป่าช้าง

จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

ธนปาลโก  นาม  กุญฺชโร
กฏุกปฺปเภทโน  ทุนฺนิวาโย
พทฺโธ  กพฬํ    ภุญฺชติ 
สุมรติ  นาควนสฺส  กุญฺชโร ฯ

กุญชร  นามว่า  ธนปาลกะ  
ตกมันจัด  ห้ามได้ยาก
ถูกขังไว้  ไม่บริโภคฟ่อนหญ้า 
กุญชรระลึกถึง แต่นาควัน.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  พราหมณ์พร้อมกับบุตรและลูกสะใภ้ทั้งหลาย  บรรลุโสดาปัตติผล.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น