07.เรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน
ทรงปรารภพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า น เตน
ภิกขุ โส โหติ
เป็นต้น
ในกาลครั้งหนึ่ง พราหมณ์ผู้หนึ่ง บวชในศาสนาอื่นที่มิใช่พุทธศาสนา และเดินเที่ยวบิณฑบาต วันหนึ่ง
พราหมณ์ผู้นี้คิดว่า
พระสมณโคดมประกาศว่า
ผู้ที่มีชีวิตจากการบิณฑบาตเรียกว่าภิกษุ
เมื่อเป็นเช่นนั้น
เราก็น่าจะถูกเรียกว่าภิกษุได้เหมือนกัน
เมื่อคิดดังนี้แล้ว
พราหมณ์ก็ได้ไปเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า
“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ แม้ข้าพเจ้าก็เที่ยวภิกษา เลี้ยงชีพอยู่
พระองค์จงเรียกแม้ข้าพเจ้าว่าภิกษุ” พระศาสดาตรัสกับพราหมณ์นั้นว่า
“ พราหมณ์ เราหาเรียกว่า ภิกษุ เพราะอาการเพียงขอเขาไม่ เพราะผู้สมาทานธรรมอันเป็นพิษแล้วประพฤติอยู่ ย่อมเป็นผู้ชื่อว่าภิกษุหาได้ไม่
ส่วนผู้ใดเที่ยวไปด้วยพิจารณาสังขารทั้งปวง ผู้นั้นชื่อว่าเป็นภิกษุ”
จากนั้น
พระศาสดาตรัสพระธรรมบท
สองพระคาถานี้ว่า
น
เตน ภิกฺขุ โส
โหติ
ยาวตา
ภิกฺขเต ปเร
วิสํ
ธมฺมํ สมาทาย
ภิกฺขุ
โหติ น ตาวตา ฯ
โยธ
ปุญฺญญฺเจ ปาปญฺจ
วาเหตฺวา
พฺรหฺมจริยวา
สงฺขาย
โลเก จรติ
ส
เว ภิกฺขูติ วุจฺจติ ฯ
บุคคลชื่อว่าเป็นภิกษุ
เพราะเหตุที่ขอกะคนพวกอื่นหามิได้
บุคคลสมาทานธรรมอันเป็นพิษ
ไม่ชื่อว่าภิกษุ ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น.
ผู้ใดในศาสนานี้
ลอยบาปและบุญได้แล้ว
ประพฤติพรหมจรรย์
รู้ธรรมในโลก
ด้วยการพิจารณาเที่ยวไป
ผู้นั้นแลเราเรียกว่า ภิกษุ.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก
บรรลุอริยผลทั้งหลาย
มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น