06. เรื่องปัญจัคคทายกพราหมณ์
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน
ทรงปรารภพราหมณ์ชื่อปัญจัคคทายก
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า สพฺพโส นามรูปสฺมึ
เป็นต้น
มีพราหมณ์ผู้หนึ่ง ปกติจะถวายทานที่เกี่ยวข้องกับข้าวในนา 5 ครั้ง
คือ ครั้งที่ 1 ให้ทานในตอนเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ (เขตตัคคะ) ครั้งที่ 2 ให้ทานในตอนขนข้าวเข้าลาน(ขลัคคะ) ครั้งที่ 3
ให้ทานในตอนนวดข้าว(ขลภัณฑัคคะ)
ครั้งที่ 4
ให้ทานในตอนเอาข้าวสารลงในหม้อข้าว(อุกขลิกัคคะ) และครั้งที่ 5 ให้ทานในตอนที่คดข้าวใส่ภาชนะ(ปาฏิคคะ) พราหมณ์ผู้นี้
เมื่อยังไม่ให้แก่ปฏิคาหาหกที่มาขอ
จะไม่ยอมบริโภคอาหาร เพราะเหตุนั้น
เขาจึงมีชื่อว่า
ปัญจัคคทายก(ผู้ให้สิ่งเลิศ 5 ครั้ง)
วันหนึ่ง
พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์และนางพราหมณี เข้ามาอยู่ในข่ายคือพระญาณของพระองค์
และทรงทราบว่าบุคคลทั้งสองนี้จะได้บรรลุพระอนาคามิผล ดังนั้น
พระศาสดาจึงได้เสด็จไปประทับยืนอยู่ที่ประตูบ้านของบุคคลทั้งสองนั้น ขณะนั้นพราหมณ์กำลังรับประทานอาหารอยู่ โดยหันหน้าเข้าข้างในบ้าน เขาจึงไม่เห็นพระศาสดา
ส่วนนางพราหมณีที่อยู่ใกล้ๆกับพราหมณ์มองเห็นพระศาสดา แต่กลัวว่าหากพราหมณ์เห็นพระศาสดายืนบิณฑบาตอยู่ที่ประตูบ้าน ก็จะนำข้าวในจานทั้งหมดไปใส่บาตร และจะทำให้นางต้องหุงข้าวอีก
นางจึงไปยืนบังอยู่ข้างหลังสามีเพื่อมิให้สามีมองเห็นพระศาสดา
ต่อมานางได้ค่อยๆเดินถอยหลังไปยังจุดที่พระศาสดาประทับยืนอยู่นั้น และได้ย่อตัวลงกราบทูลด้วยเสียงค่อยๆว่า “นิมนต์โปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด ” แต่พระศาสดาไม่ยอมเสด็จออกไปจากบ้านนั้น พระองค์ทรงสั่นพระเศียร แสดงสัญญาณว่า
เราจักไม่ไป นางพราหมณีเห็นอากัปกิริยาของพระศาสดา ก็นึกขันจนกลั้นไม่อยู่ ได้ส่งเสียงหัวเราะอย่างขบขัน พราหมณ์จึงได้เหลียวหลังกลับมามอง เห็นพระศาสดา
จึงพูดกับนางพราหมณีว่า “
นางผู้เจริญ
ทำไมหล่อนไม่บอกว่าพระราชบุตรมาประทับยืนอยู่ที่ประตูบ้านเรา อย่างนี้ทำให้เราเสียหายมาก หล่อนทำกรรมหนักแล้ว”
ว่าแล้วก็รีบยกภาชนะอาหารที่ตนบริโภคแล้วครึ่งหนึ่ง ไปใกล้พระศาสดา แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ถวายทานอันเลิศในโอกาสทั้ง 5 แล้วจึงบริโภค
ข้าพระองค์รับประทานอาหารนี้ไปส่วนหนึ่งแล้ว ยังเหลืออยู่อีกส่วนหนึ่ง ขอพระองค์ได้โปรดรับอาหารส่วนนี้ของข้าพระองค์เถิด”
พระศาสดาตรัสตอบว่า “ดูก่อนพราหมณ์
ขึ้นชื่อว่าข้าวทุกอย่างสมควรแก่เราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้าวที่ยังไม่รับประทาน ข้าวที่รับประทานไปเป็นบางส่วน หรือข้าวที่เหลือเดน ดูก่อนพราหมณ์ เพราะพวกเราเป็นผู้อาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้เลี้ยงชีพ เป็นเช่นกับพวกเปรต”
พราหมณ์มีความประหลาดใจที่ได้ยินพระดำรัสเช่นนี้ของพระศาสดา
และในขณะเดียวกันก็เกิดความปิติยินดีที่พระศาสดายอมรับข้าวของตน จากนั้น
พราหมณ์ได้ทูลถามพระศาสดาว่า
พระองค์ใช้เกณฑ์อะไรกำหนดบุคคลว่าเป็นภิกษุ พระศาสดาทรงทราบด้วยพระญาณพิเศษว่าทั้งพราหมณ์และนางพราหมณีได้เรียนรู้ถึงเรื่องของนามและรูปมาแล้วในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ ดังนั้น
พระองค์จึงตรัสว่า “ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลผู้ไม่กำหนัด ไม่ข้องอยู่ในนามและรูป ชื่อว่า
เป็นภิกษุ”
จากนั้น
พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท
พระคาถานี้ว่า
สพฺพโส
นามรูปสฺมึ
ยสส
นตฺถิ มมายิตํ
อสตา
จ น โสจติ
ส
เว ภิกฺขูติ วุจฺจติ
ฯ
ความยึดถือในนามรูปว่าเป็นของๆเรา
ไม่มีแก่ผู้ใดโดยประการทั้งปวง
อนึ่ง
ผู้ใด ไม่เศร้าโศก
เพราะนามรูปนั้นไม่มีอยู่
ผู้นั้นแล
เราเรียกว่า ภิกษุ.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภรรยาและสามีทั้ง 2 บรรลุอนาคามิผล พระธรรมเทศฯมีประโยชน์ แม้แก่ชนผู้มาประชุมกัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น