วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2558

ตัณหาวรรค:06. เรื่องบุตรเศรษฐีชื่ออุคคเสน



06.  เรื่องบุตรเศรษฐีชื่ออุคคเสน

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน  ทรงปรารภอุคคเสน  ตรัสพระธรรมเทศฯนี้ว่า  มุญฺจ  ปุเร  เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง  คณะแสดงละครเร่ประกอบด้วยนักเต้นรำและนักกายกรรมจำนวน 500 คน ได้ไปเปิดการแสดงอยู่ที่พระลานหลวงในกรุงราชคฤห์ของพระเจ้าพิมพิสารเป็นเวลา 7 วัน  ในคณะแสดงละครมีหญิงนักเต้นเยาว์วัยคนหนึ่งเป็นลูกชาวของนักแสดงกายกรรม  ได้ขึ้นไปร้องรำทำเพลงอยู่บนปลายไม่ไผ่ยาวๆ  นายอุคคเสนซึ่งเป็นบุตรชายของเศรษฐี    เกิดหลงรักหญิงนักเต้นคนนี้มาก   อยากจะแต่งงานกับนางให้ได้   แม้บิดามารดาจะห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง    เมื่อแต่งงานกันแล้ว  นายอุคคเสนก็ได้ติดตามคณะละครเร่ไปแสดงตามสถานที่ต่างๆ  อุคคเสนเต้นรำเป็นแต่เล่นกายกรรมไม่เป็น  จึงไม่เป็นที่ต้องการของคณะละครมากนัก  เมื่อคณะละครเร่ได้ร่อนเร่ไปเปิดการแสดงตามที่ต่างๆ  อุคคเสนจึงมีหน้าที่เป็นเพียงกุลีขนหีบเสื้อผ้าบ้างเป็นคนขับเกวียนบ้างเท่านั้นเอง 

เมื่อกาลเวลาผ่านไป   อุคคเสนก็มีบุตรชายคนหนึ่งเกิดกับหญิงนักเต้นสาวคนนี้  หญิงนักเต้นได้พูดหยอกล้อบุตรว่า  ไอ้ลูกของคนเฝ้าเกวียน  ไอ้ลูกของคนหาบของ  ไอ้ลูกของคนไม่รู้อะไร  อุคคเสนได้ยินคำพูดของภรรยาเช่นนั้น  ก็เกิดความเจ็บใจ  จึงไปหาพ่อตาซึ่งเป็นนักแสดงกายกรรม ขอให้ช่วยฝึกหัดการแสดงกายกรรมให้  หลังจากได้รับการฝึกฝนได้ไดไม่ถึงปีดี  อุคคเสนก็มีความชำนาญในการแสดงกายกรรมเป็นอย่างมาก 

จากนั้น  อุคคเสนก็ได้กลับไปที่กรุงราชคฤห์   และได้มีการโฆษณาว่าอีก  7 วันนายอุคคเสนจะมาแสดงกายกรรม  พอถึงวันที่ 7  เมื่อมีประชาชนมาชุมนุมเพื่อชมการแสดงเป็นจำนวนมาก    โดยนายอุคคเสนก็ได้ไปยืนแสดงกายกรรมบนปลายไม้ไผ่สูงถึง 60 ศอก

ในวันนั้นพระศาสดาทรงตรวจดูสัสวโลก  ในเวลาใกล้รุ่ง  ทรงเห็นอุคคเสนเข้าไปในข่ายคือพระญาณของพระองค์  และเขาจักได้บรรลุพระอรหัตตผล   และการบรรลุธรรมจักมีแก่สัตว์จำนวน  8 หมื่น 4 พัน  เพราะฟังธรรมจากพระองค์  ในวันรุ่งขึ้น  พระองค์  พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์   ก็ได้เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์  เพื่อบิณฑบาต  ซึ่งก็เป็นช่วงพอดีกับที่อุคคเสนกำลังแสดงกายกรรมบนปลายลำไม้ไผ่   พอเห็นพระศาสดาเสด็จมา  ผู้ชมการแสดงก็ละสายตาจากการแสดงของนายอุคคเสนมาที่พระศาสดา  นายอุคคเสนเห็นเช่นนั้นก็เกิดความเสียใจ นั่งเฉยอยู่บนปลายไม่ไผ่  พระศาสดาได้รับสั่งให้พระโมคคัลลานเถระไปเจรจาให้นายอุคคเสนะดำเนินการแสดงต่อไป  เมื่อสิ้นสุดรายการการแสดงแล้ว    ได้ตรัสกับเขาว่า อุคคเสน  ธรรมดาบัณฑิต  ต้องละความอาลัยรักใคร่ในขันธ์ทั้งหลาย  ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต  และปัจจุบันเสียแล้ว  พ้นจากทุกข์ทั้งหลายมีชาติเป็นต้นจึงควร

จากนั้น  พระศาสดาจึงได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

มุญฺจ  ปุเร  มุญฺจ  ปจฺฉโต
มชฺเฌ  มุญฺจ  ภวสฺส  ปารคู
สพฺพตฺถ  วิมุตฺตมานโส
  ปุน  ชาติชรํ  อุเปหิสิ ฯ

ท่านจงเปลื้อง(อาลัย) ในก่อนเสีย
จงเปลื้อง(อาลัย) ข้างหลังเสีย
จงเปลื้อง(อาลัย)ในท่ามกลางเสีย
จึงเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ
มีใจหลุดพ้นในธรรมทั้งปวง
จะไม่เข้าถึงชาติและชราอีก.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  การบรรลุธรรมพิเศษ  ได้มีแล้ว  แก่ชนเป็นอันมาก.

ฝ่ายอุคคเสน  กำลังยืนอยู่ปลายไม่ไผ่  บรรลุพระอรหัตตผล  พร้อมปฏิสัมภิทา  ได้ลงจากลำไผ่มาสู่ที่ใกล้พระศาสดา  ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์  ทูลขอพรรพชา  พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวา  ตรัสกับนายอุคคเสนนั้นว่า  ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด” (ไม่มีคำต่อไปว่า  จงประพฤติพรหมจรรย์  เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด  เพราะท่านเป็นพระอรหันต์มาก่อนบวชแล้ว)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น