วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558

พราหมณวรรค:21.เรื่องพระติสสเถระผู้อยู่ในเงื้อมเขา



21. เรื่องพระติสสเถระผู้อยู่ในเงื้อมเขา

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระติสสเถระผู้อยู่ในเงื้อมเขา  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  อสํสฏฺฐํ เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง  พระติสสเถระ  เรียนพระกัมมัฏฐานจากพระศาสดาแล้ว  เข้าป่าไปพบสถานที่แห่งหนึ่งเป็นที่สัปปายะอยู่ที่เงื้อมเขา  ท่านได้ลองนั่งทดสอบดู  ก็เห็นว่าจิตสงบดี  ซึ่งจะทำให้บรรลุถึงที่สุดแห่งกิจของบรรพชิตคือเข้าถึงพระนิพพานได้  ท่านจึงตัดสินใจจะจำพรรษาอยู่ในถ้ำแห่งนั้น  เทพยดาซึ่งสิงสถิตอยู่ในถ้ำแห่งนั้นคิดว่าพระภิกษุรูปนี้คงจะพำนักอยู่แค่คืนเดียวก็จะจากไป  ก็ได้พาพวกลูกๆของตนออกไปจากถ้ำนั้น  แต่ในวันรุ่งขึ้นพระภิกษุนี้ได้เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน  ได้รับอาราธนาจากหญิงผู้หนึ่งให้เข้าจำพรรษาอยู่ในถ้ำนั้นเป็นเวลา 3 เดือน   พระภิกษุนั้นจึงได้สนองศรัทธา  เทวดาที่สิงสถิตอยู่ในถ้าเกิดความเดือดร้อน  เพราะจะอยู่ในถ้ำกับพระภิกษุผู้มีศีลบริสุทธ์ก็อยู่ไม่ได้  จะไปบอกท่านให้ออกไปจากถ้ำก็ยิ่งไม่กล้า  จึงได้วางแผนจะจับผิดพระภิกษุนั้นเพื่อหาเหตุให้ท่านออกไปจากถ้ำนั้นให้ได้

เทวดาอยู่ในถ้าตนนั้นจึงได้ไปเข้าสิงที่ร่างของบุตรของหญิงที่นิมนต์พระภิกษุไปรับอาหารบิณฑบาตเป็นประจำทุกวันนั้น  เมื่อถูกเทวดาเข้าสิงเด็กชายคนนั้นก็เกิดอาการคอบิด น้ำลายฟูมปาก  ข้างมารดาของเด็กเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ กอดบุตรร้องไห้  ร่างของเด็กที่ถูกเทวดาเข้าสิงได้กล่าวว่า   เราเข้าสิงที่ร่างของบุตรท่าน  เราไม่ต้องการเครื่องเซ่นสังเวยใดๆ  แต่อยากจะให้ท่านไปขอสมุนไพร ชะเอมเครือจากพระเถระที่เข้ามาบิณฑบาตที่บ้านท่านเป็นประจำมาทอดน้ำมัน  แล้วนำมาให้เด็กคนนี้หยอดเข้าไปทางจมูก  แต่หญิงนั้นไม่กล้าไปขอสิ่งนั้นจากพระภิกษุเพราะจะทำให้ท่านมีศีลด่างพร้อยในข้อที่ปรุงยารักษาโรค  จึงได้ต่อรองกับเทวดา  จนตกลงกันว่า ให้นางไปขอน้ำล้างเท้าของพระภิกษุนั้น  เมื่อได้มาแล้วก็ให้นำมารดลงที่ศีรษะของเด็กนี้  ในวันรุ่งขึ้น  เมื่อพระภิกษุรูปนี้เข้ามาบิณฑบาตที่บ้าน  นางก็ได้ถวายอาหารบิณฑบาตตามปกติ  แต่ที่พิเศษก็คือขอให้พระเอาน้ำล้างเท้าและขอน้ำนั้นไว้  และนางได้นำน้ำนั้นรดลงที่ศีรษะของบุตร  เด็กนั้นก็มีสภาพกลับคืนสู่ปกติ  ส่วนเทวดาก็ได้กลับไปที่ถ้ำเพื่อรอการกลับคืนสู่ถ้าของภิกษุนั้น  เมื่อภิกษุนั้นกลับมาแล้ว  เทวดานั้นก็ได้แสดงตัวออกมาให้ภิกษุนั้นเห็น  กล่าวว่า ท่านผู้เป็นหมอใหญ่  ท่านอย่าได้เข้ามาในถ้ำนี้  พระภิกษุนั้นรู้ตัวว่าตั้งแต่บวชพระมาไม่เคยประกอบยารักษาโรคให้แก่ผู้ใด จึงได้ตอบไปว่า ท่านไม่เคยทำยารักษาโรคให้ใครมาก่อนเลย  เทวดาจึงบอกว่าเมื่อเช้านี้พระภิกษุนี้ได้ทำการรักษาเด็กที่ถูกอมนุษย์เข้าสิงที่บ้านที่ท่านเข้าไปรับอาหารบิณฑบาตเป็นประจำนั่นไง  พระเถระตอบว่าไม่ได้ประกอบยารักษาเด็กดังที่เทวดากล่าวหา  เทวดาบอกว่าที่เอาน้ำล้างเท้าไปรดให้เด็กก็ถือว่าเป็นการรักษาโรคได้เหมือนกัน  แต่พระภิกษุนั้นตอบว่าไม่เป็น  และท่านก็มีความภาคภูมิใจว่าท่านยังมีศีลบริสุทธิ์ เกิดความปีติอย่างเหลือล้น  เมื่อข่มปีติได้แล้ว  ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในขณะยืนอยู่ที่ปากถ้ำนั่นเอง  เมื่อท่านรู้ตัวว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว  ก็ได้บอกให้เทวดาออกจากถ้ำนั้นไป  ในขณะที่ท่านก็จำพรรษาอยู่ที่นั่นต่อไปจนครบไตรมาส  เมื่อออกพรรษาแล้วท่านก็ได้เดินทางกลับไปเฝ้าพระศาสดา  เมื่อถูกภิกษุทั้งหลายถามว่า  บรรลุถึงกิจสูงสุดของการเป็นบรรพชิตแล้วหรือยัง ? ท่านก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ภิกษุเหล่านี้ฟัง  เมื่อภิกษุทั้งหลายถามว่า   ท่านถูกเทวดาว่ากล่าวอย่างนั้น  ไม่โกรธหรือ?”  ท่านตอบว่า ไม่โกรธ  พวกภิกษุทั้งหลายจึงตีความคำพูดของท่านว่าเป็นการอวดอ้างตนว่าบรรลุเป็นพระอรหันต์  จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระศาสดา  พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย  บุตรของเราย่อมไม่โกรธเลย  เพราะขึ้นชื่อว่าความเกี่ยวข้องด้วยคฤหัสถ์หรือด้วยบรรพชิตทั้งหลาย  ย่อมไม่มีแก่บุตรของเรานั่น  บุตรของเรานั่น  ไม่เกี่ยวข้อง  ปรารถนาน้อย  สันโดษ

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

อสํสฏฺฐํ  คหฏฺเฐหิ
อนาคาเหิ  จูภยํ
อโนกสารึ  อปฺปิจฺฉํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ ฯ

เราเรียกบุคคล  ผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยชน 2  จำพวก
คือ คฤหัสถ์  1  บรรพชิต 1
ผู้ไม่มีความอาลัยเที่ยวไป
ผู้ปรารถนาน้อยนั้นว่า  เป็นพราหมณ์.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น