21. เรื่องพระติสสเถระผู้อยู่ในเงื้อมเขา
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน
ทรงปรารภพระติสสเถระผู้อยู่ในเงื้อมเขา
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อสํสฏฺฐํ
เป็นต้น
ในกาลครั้งหนึ่ง พระติสสเถระ
เรียนพระกัมมัฏฐานจากพระศาสดาแล้ว
เข้าป่าไปพบสถานที่แห่งหนึ่งเป็นที่สัปปายะอยู่ที่เงื้อมเขา ท่านได้ลองนั่งทดสอบดู ก็เห็นว่าจิตสงบดี
ซึ่งจะทำให้บรรลุถึงที่สุดแห่งกิจของบรรพชิตคือเข้าถึงพระนิพพานได้ ท่านจึงตัดสินใจจะจำพรรษาอยู่ในถ้ำแห่งนั้น
เทพยดาซึ่งสิงสถิตอยู่ในถ้ำแห่งนั้นคิดว่าพระภิกษุรูปนี้คงจะพำนักอยู่แค่คืนเดียวก็จะจากไป ก็ได้พาพวกลูกๆของตนออกไปจากถ้ำนั้น
แต่ในวันรุ่งขึ้นพระภิกษุนี้ได้เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน
ได้รับอาราธนาจากหญิงผู้หนึ่งให้เข้าจำพรรษาอยู่ในถ้ำนั้นเป็นเวลา 3
เดือน พระภิกษุนั้นจึงได้สนองศรัทธา
เทวดาที่สิงสถิตอยู่ในถ้าเกิดความเดือดร้อน
เพราะจะอยู่ในถ้ำกับพระภิกษุผู้มีศีลบริสุทธ์ก็อยู่ไม่ได้ จะไปบอกท่านให้ออกไปจากถ้ำก็ยิ่งไม่กล้า
จึงได้วางแผนจะจับผิดพระภิกษุนั้นเพื่อหาเหตุให้ท่านออกไปจากถ้ำนั้นให้ได้
เทวดาอยู่ในถ้าตนนั้นจึงได้ไปเข้าสิงที่ร่างของบุตรของหญิงที่นิมนต์พระภิกษุไปรับอาหารบิณฑบาตเป็นประจำทุกวันนั้น
เมื่อถูกเทวดาเข้าสิงเด็กชายคนนั้นก็เกิดอาการคอบิด น้ำลายฟูมปาก ข้างมารดาของเด็กเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ
กอดบุตรร้องไห้
ร่างของเด็กที่ถูกเทวดาเข้าสิงได้กล่าวว่า “เราเข้าสิงที่ร่างของบุตรท่าน เราไม่ต้องการเครื่องเซ่นสังเวยใดๆ แต่อยากจะให้ท่านไปขอสมุนไพร “ชะเอมเครือ”จากพระเถระที่เข้ามาบิณฑบาตที่บ้านท่านเป็นประจำมาทอดน้ำมัน แล้วนำมาให้เด็กคนนี้หยอดเข้าไปทางจมูก”
แต่หญิงนั้นไม่กล้าไปขอสิ่งนั้นจากพระภิกษุเพราะจะทำให้ท่านมีศีลด่างพร้อยในข้อที่ปรุงยารักษาโรค จึงได้ต่อรองกับเทวดา จนตกลงกันว่า
ให้นางไปขอน้ำล้างเท้าของพระภิกษุนั้น
เมื่อได้มาแล้วก็ให้นำมารดลงที่ศีรษะของเด็กนี้ ในวันรุ่งขึ้น
เมื่อพระภิกษุรูปนี้เข้ามาบิณฑบาตที่บ้าน
นางก็ได้ถวายอาหารบิณฑบาตตามปกติ
แต่ที่พิเศษก็คือขอให้พระเอาน้ำล้างเท้าและขอน้ำนั้นไว้ และนางได้นำน้ำนั้นรดลงที่ศีรษะของบุตร เด็กนั้นก็มีสภาพกลับคืนสู่ปกติ
ส่วนเทวดาก็ได้กลับไปที่ถ้ำเพื่อรอการกลับคืนสู่ถ้าของภิกษุนั้น เมื่อภิกษุนั้นกลับมาแล้ว เทวดานั้นก็ได้แสดงตัวออกมาให้ภิกษุนั้นเห็น กล่าวว่า “ท่านผู้เป็นหมอใหญ่ ท่านอย่าได้เข้ามาในถ้ำนี้”
พระภิกษุนั้นรู้ตัวว่าตั้งแต่บวชพระมาไม่เคยประกอบยารักษาโรคให้แก่ผู้ใด
จึงได้ตอบไปว่า ท่านไม่เคยทำยารักษาโรคให้ใครมาก่อนเลย
เทวดาจึงบอกว่าเมื่อเช้านี้พระภิกษุนี้ได้ทำการรักษาเด็กที่ถูกอมนุษย์เข้าสิงที่บ้านที่ท่านเข้าไปรับอาหารบิณฑบาตเป็นประจำนั่นไง
พระเถระตอบว่าไม่ได้ประกอบยารักษาเด็กดังที่เทวดากล่าวหา
เทวดาบอกว่าที่เอาน้ำล้างเท้าไปรดให้เด็กก็ถือว่าเป็นการรักษาโรคได้เหมือนกัน แต่พระภิกษุนั้นตอบว่าไม่เป็น และท่านก็มีความภาคภูมิใจว่าท่านยังมีศีลบริสุทธิ์
เกิดความปีติอย่างเหลือล้น
เมื่อข่มปีติได้แล้ว
ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในขณะยืนอยู่ที่ปากถ้ำนั่นเอง เมื่อท่านรู้ตัวว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ได้บอกให้เทวดาออกจากถ้ำนั้นไป
ในขณะที่ท่านก็จำพรรษาอยู่ที่นั่นต่อไปจนครบไตรมาส เมื่อออกพรรษาแล้วท่านก็ได้เดินทางกลับไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อถูกภิกษุทั้งหลายถามว่า บรรลุถึงกิจสูงสุดของการเป็นบรรพชิตแล้วหรือยัง
? ท่านก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ภิกษุเหล่านี้ฟัง เมื่อภิกษุทั้งหลายถามว่า “
ท่านถูกเทวดาว่ากล่าวอย่างนั้น ไม่โกรธหรือ?” ท่านตอบว่า
“ไม่โกรธ”
พวกภิกษุทั้งหลายจึงตีความคำพูดของท่านว่าเป็นการอวดอ้างตนว่าบรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราย่อมไม่โกรธเลย
เพราะขึ้นชื่อว่าความเกี่ยวข้องด้วยคฤหัสถ์หรือด้วยบรรพชิตทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุตรของเรานั่น บุตรของเรานั่น ไม่เกี่ยวข้อง
ปรารถนาน้อย สันโดษ”
จากนั้น
พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท
พระคาถานี้ว่า
อสํสฏฺฐํ
คหฏฺเฐหิ
อนาคาเหิ
จูภยํ
อโนกสารึ
อปฺปิจฺฉํ
ตมหํ
พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ
เราเรียกบุคคล
ผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยชน 2 จำพวก
คือ คฤหัสถ์
1 บรรพชิต 1
ผู้ไม่มีความอาลัยเที่ยวไป
ผู้ปรารถนาน้อยนั้นว่า เป็นพราหมณ์.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก
บรรลุอริยผลทั้งหลาย
มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น