08.เรื่องภิกษุหนุ่มชื่อติสสะ
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระภิกษุหนุ่มชื่อติสสะ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ททาติ เว ยถาสทฺธํ เป็นต้น
ภิกษุหนุ่มชื่อติสสะ
มีนิสัยชอบตำหนิทานและการกระทำความดีของผู้อื่น ท่านตำหนิแม้กระทั่งอริยสาวกกผู้ทานบดี
อย่างเช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกา
และแม้กระทั่งอสทิสทานที่ถวายโดยพระเจ้าปเสนทิโกศล นอกจากนั้นแล้ว
พระหนุ่มรูปนี้ก็ยังโอ้อวดว่าพวกญาติๆของท่านมีฐานะดีและมีใจบุญสุนทร์ทาน เมื่อภิกษุอื่นๆได้ยินคำโอ้อวดของพระติสสะ ก็เกิดความสงสัยในข้อเท็จจริง จึงตัดสินใจที่จะไปพิสูจน์หาความจริง
พวกภิกษุหนุ่มกลุ่มหนึ่ง
ได้เดินทางไปพิสูจน์และสอบสวนที่หมู่บ้านของพระติสสะ
ก็ได้พบว่าครอบครัวของพระติสสะเป็นครอบครัวยากจน เป็นแค่บุตรของยามรักษาการ ไม่มีบ้านอยู่เป็นหลักฐาน ก่อนบวชตระเวนไปกับพวกช่างไม้แล้วไปบวช
เมื่อภิกษุทั้งหลาย กราบทูลพระศาสดาให้ทรงทราบในเรื่องนี้ พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุชื่อว่าติสสะนั้น
ย่อมเที่ยวโอ้อวด
ในบัดนี้เท่านั้นหามิได้
แม้ในกาลก่อน
เธอก็ได้เป็นผู้โอ้อวดแล้ว
จากนั้นได้ทรงนำอดีตชาติของพระติสสะในกฏาหกชาดกมาเล่า แล้วตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย
ก็บุคคลใด
เมื่อชนเหล่าอื่นให้ซึ่งวัตถุน้อยก็ตาม
มากก็ตาม เศร้าหมองก็ตาม ประณีตก็ตาม
หรือให้วัตถุแก่ชนเหล่าอื่น
แต่ไม่ให้แก่ตน
ย่อมเป็นผู้เก้อเขิน ฌานก็ดี วิปัสสนาก็ดี
มรรคและผลก็ดี ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น”
จากนั้น
ได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
ททาติ
เว ยถาสทฺธํ
ยถาปสาทนํ
ชโน
ตตฺถ
โย มงฺกุโต โหติ
ปเรสํ
ปานโภชเน
น
โส ทิวา วา
รตฺตึ วา
สมาธึ
อธิคจฺฉติ ฯ
ยสฺส
เจตํ สมุจฺฉินฺนํ
มูลฆจฺฉํ
สมูหตํ
ส
เว ทิวา วา
รตฺตึ วา
สมาธึ
อธิคจฺฉติ ฯ
ชนย่อมให้ทานตามศรัทธา
ตามความเลื่อมใสแล
ชนใด
ย่อมเป็นผู้เก้อเขิน
ในเพราะน้ำและข้าวของชนเหล่าอื่นนั้น
ชนนั้นย่อมไม่บรรลุสมาธิในกลางวันหรือในกลางคืน.
ก็กุศลกรรมอันบุคคลใดตัดขาดแล้ว
ถอนขึ้นทำให้มีรากขาดแล้ว
บุคคลนั้นแล
ย่อมบรรลุสมาธิ
ในกลางวันหรือในกลางคืน.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก
บรรลุอริยผลทั้งหลาย
มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น