วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2558

พราหมณวรรค:09.เรื่องพระสารีบุตรเถระ



09.เรื่องพระสารีบุตรเถระ

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระสารีบุตรเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  ยมฺหา  ธมฺมํ  วิชาเนยฺย  เป็นต้น

พระสารีบุตรเถระ   มีบิดามารดาเป็นพราหมณ์และนางพราหมณี  ที่หมู่บ้านอุปติสสะ  ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมีนามว่า อุปติสสะ  มีมารดาชื่อว่า นางสารี  มีเพื่อนที่ใกล้ชิดนามว่า โกลิตะ  ซึ่งป็นพราหมณ์หนุ่ม บุตรชายของนางโมคคัลลี  พราหมณ์หนุ่มทั้งสองคน  แสวงหาสัจธรรม ที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นจากวัฏฏสังสาร  และมีความต้องการจะบวชมาก  ในครั้งแรกทั้งสองคนได้ไปบวชอยู่กับท่านสญชัย  แต่ไม่พึงพอใจกับคำสอนของท่าน  จึงได้ออกตระเวนไปทั่วชมพูทวีปเพื่อแสวงหาครูอาจารย์ที่จะช่วยชี้หนทางสู่ความไม่ตาย  แต่ไม่สามารถหาครูอาจารย์เช่นนั้นได้  ดังนั้นทั้งสองคนจึงแยกกันแสดงหาสัจธรรมโดยได้ตกลงกันว่า  เมื่อสามารถค้นพ้นสัจธรรมก็ให้บอกแก่กันและกัน

ในช่วงเดียวกันนั้น  พระศาสดาได้เสด็จมายังกรุงราชคฤห์   พร้อมด้วยภิกษุทั้งหลาย  รวมทั้งพระอัสสชิ  หนึ่งในพระปัญจวัคคีย์  ในขณะที่พระอัสสชิกำลังเดินบิณฑบาตอยู่นั้น  อุปติสสะเห็นพระเถระก็เกิดความประทับใจเป็นอย่างยิ่งในความสง่างามและสงบเสงี่ยมของพระเถระ  จึงได้เข้าไปหาแล้วเรียนถามว่าใครเป็นครูของท่าน  คำสอนของครูของท่านว่าอย่างไร  และได้ขอให้แสดงคำสอนนั้นโดยย่นย่อให้ฟังด้วย   พระอัสสชิเถระได้กล่าวกับอุปติสสะด้วยพระคาถาว่า  เย ธมฺมา  เหตุปฺปภวา,  เตสํ  เหตํ   ตถาคโต  (อาห),  เตสญฺจ  โย  นิโรโธ    เอวํวาที  มหาสมโณ” (ธรรมเหล่าใดเกิดขึ้นแต่เหตุ   พระศาสดาตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น  และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น  พระตถาคตมีปกติตรัสอย่างนี้)  เมื่ออุปติสสะได้ฟังก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล  จากนั้นอุปติสสะได้ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนโกลิตะโดยไปแจ้งว่าว่าได้พบสัจธรรมแล้ว  และทั้งสองคนก็ได้เดินทางไปเฝ้าพระศาสดา ที่พระเวฬุวัน  พร้อมด้วยบริวารจำนวน 250  คน  และได้ขอบวชเป็นภิกษุ  อุปติสสะซึ่งเป็นบุตรของนางสารีจึงมีชื่อว่าสารีบุตร  ส่วนโกลิตซึ่งเป็นบุตรของนางโมคคัลลีจึงมีชื่อว่าโมคคัลลานะ  หลังจากอุปสมบทเป็นภิกษุแล้วไม่นาน พระบริวารทั้ง 250 รูปเมื่อได้ฟังธรรมจากพระศาสดาแล้วก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์  แต่พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์หลังอุปสมบทได้  7 วัน  และ 15 วันตามลำดับ

พระสารีบุตรนั้น  รำลึกอยู่เสมอว่าที่ท่านได้พบพระศาสดาและได้บรรลุเป็นพระโสดาบันนั้นก็เพราะพระอัสสชิ  ดังนั้น  ท่านจึงมีความกตัญญูรู้คุณของพระอัสสชิเป็นอย่างมาก  ในเวลาท่านจำวัดท่านก็จะหันศีรษะไปทางทิศที่พระอัสสชิอยู่  พวกภิกษุทั้งหลายคิดว่าท่านปฏิบัติผิด  จึงนำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลพระศาสดา ว่า พระสารีบุตรเป็นมิจฉาทิฏฐิ  ถึงวันนี้ก็เที่ยวนอบน้อมทิศทั้งหลายอยู่   พระศาสดาตรัสว่า   ภิกษุทั้งหลาย  สารีบุตร  ย่อมไม่นอบน้อมทิศทั้งหลาย  แต่เพราะความที่เธอฟังธรรมจากสำนักของพระอัสสชิเถระแล้วบรรลุโสดาปัตติผล  จึงนอบน้อมอาจารย์ของตน  เพราะว่า ภิกษุอาศัยอาจารย์ใด  ย่อมรู้ธรรม  ภิกษุนั้น  พึงนอบน้อมอาจารย์นั้นโดยเคารพ  เหมือนพราหมณ์นอบน้อมไฟอยู่ฉะนั้น

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

ยมฺหา  ธมฺมํ  วิชาเนยฺย
สมฺมาสมฺพุทฺธเทสิตํ
สกฺกจฺจํ  ตํ  นมสฺเสยฺย
อคฺคิหฺตํว  พฺราหฺมโณ 

บุคคลพึงรู้แจ้งธรรมอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงแสดงแล้ว   จากอาจารย์ใด
พึงนอบน้อมอาจารย์นั้นโดยเคารพ
เหมือนพราหมณ์นอบน้อมการบูชาเพลิงอยู่ ฉะนั้น.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น