03.เรื่องพระเอกุทานเถระ
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน
ทรงปรารภพระขีณาสพ(พระผู้สิ้นกิเลส)ชื่อว่าเอกุทานเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า น
ตาวตา ธมฺมธโร เป็นต้น
พระเอกุทานเถระ (พระเถระมีคำอุทานบทเดียว)
พำนักอยู่ในป่าแห่งหนึ่งองค์เดียว
ท่านชอบกล่าวคำอุทานกถาบทเดียวนี้ว่า “ความโศกทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท
เป็นมุนี ศึกษาในทางโมนปฏิบัติ ผู้คงที่
ระงับแล้ว มีสติทุกเมื่อ” พอถึงวันอุโบสถ
ท่านพระเอกุทานเถระก็จะป่าวประกาศให้ผู้คนทั้งหลายมาฟังธรรมกัน แล้ว
ท่านพระเอกุทานเถระก็จะกล่าวอุทานกถาบทนี้
และเมื่อท่านเอกุทานเถระกล่าวอุทานกถาบทนี้จบลง พวกเทวดาในป่าก็จะส่งเสียงสาธุการดังสนั่นหวั่นไหว ต่อมา
ในวันอุโบสถวันหนึ่ง
ภิกษุทรงจำพระไตรปิฎก 2 รูป
พร้อมบริวารรูปละ 500
พากันไปยังสถานที่ท่านพระเอกุทานเถระพำนักอยู่นั้น
พระเอกุทานเถระได้นิมนต์พระเถระผู้ทรงพระไตรปิฎกทั้งสองรูปนั้นแสดงธรรม พระเถระทรงพระไตรปิฎกสองรูปนั้นได้ถามท่านพระเอกุทานเถระว่า ที่นี่มีคนฟังธรรมด้วยหรือ ท่านพระเอกุทานเถระเรียนว่า
มีเทวดามาฟังธรรมและจะส่งเสียงสาธุการทุกครั้งที่การแสดงธรรมจบลง
แต่พอพระทรงจำพระไตรปิฎกทั้งสององค์ผลัดกันแสดงธรรม พอการแสดงธรรมของแต่ละองค์จบลง ก็ไม่มีเสียงสาธุการของเทวดาทั้งหลายให้ได้ยิน
พระทรงจำพระไตรปิฎกั้งสององค์เกิดความสงสัยในคำพูดของพระเอกุทานเถระที่บอกว่าเมื่อการแสดงธรรมจบลงก็จะมีเสียงเทวดาส่งเสียงสาธุการสนั่นหวั่นไหว แต่พระเอกุทานเถระก็ยังยืนยันอย่างแข็งขันว่า
ที่ผ่านมาเมื่อการแสดงธรรมจบลงจะมีเสียงสาธุการของเทวดาในทุกครั้ง
ดังนั้น
พระทรงจำพระไตรปิฎกทั้งสองรูป
จึงขอให้พระเอกุทานเถระแสดงธรรมดูบ้าง
พระเอกุทานเถระจึงได้จับพัดมาบังหน้าแล้วกล่าวอุทานกถาดังข้างต้นนั้น พอพระเอกุทานเถระกล่าวอุทานกถาบทนั้นจบลง
ก็มีเสียงเทวดาส่งเสียงสาธุการดังสนั่นหวั่นไหว พระภิกษุบริวารของพระเถระผู้ทรงจำพระไตรปิฎกทั้งสององค์นั้น กล่าวหาว่าพวกเทวดาในป่าลำเอียง จึงได้นำความขึ้นกราบทูลพระศาสดา เมื่อเดินทางกลับมายังพระเชตวัน พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย
เราไม่เรียกผู้เรียนมากหรือพูดมากว่า
เป็นผู้ทรงธรรม
ส่วนผู้ใดเรียนคาถาแม้คาถาเดียวแล้วแทงตลอดสัจจะทั้งหลาย ผู้นี้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรม”
จากนั้น
พระศาสดาตรัสพระธรรมบท
พระคาถานี้ว่า
น
ตาวตา ธมฺมธโร
ยาวตา
พหุ ภาสติ
โย
จ อปฺปํปิ สุตฺวาน
ธมฺมํ
กาเยน ปสฺสติ
ส
เว ธมฺมธโร โหตุ
โย
ธมฺมํ นปฺปมชฺชติ ฯ
บุคคล ไม่ชื่อว่าทรงธรรม
เพราะเหตุที่พูดมาก
ส่วนบุคคลใด
ฟังแม้นิดหน่อย
ย่อมเห็นธรรมด้วยนามกาย
บุคคลใด
ไม่ประมาทธรรม
บุคคลนั้นแล
เป็นผู้ทรงธรรม.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุธรรมมีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น