วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558

พราหมณวรรค:36.เรื่องพระวังคีสเถระ



36.เรื่องพระวังคีสเถระ

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระวังคีสเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  จุตึ  โย  เวทิ

 เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง   พราหมณ์ในกรุงราชคฤห์คนหนึ่งชื่อวังคีสะ   แค่เคาะกะโหลกศีรษะของพวกมนุษย์ที่ตายแล้ว  ก็รู้ได้ในทันทีว่า  นี้เป็นศีรษะของคนผู้เกิดในนรก  นี้เป็นศีรษะของคนผู้เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน  นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในเปรตวิสัย  นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในมนุษยโลก  นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในเทวโลก  พวกพราหมณ์ทั้งหลายถือเอาเรื่องนี้เป็นจุดขาย  จึงได้นำวังคีสพราหมณ์ขึ้นเกวียนออกตระเวนไปตามที่ต่างๆ  และก็มีคนเป็นจำนวนมากมาขอรับบริการจากเขาให้เคาะศีรษะของพวกญาติๆที่ตายไปแล้ว  โดยทั้งนี้คนที่มารับบริการจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าบริการคนละ 10  กหาปณะบ้าง  20 กหาปณะบ้าง  30 กหาปณะบ้าง

อยู่มาวันหนึ่ง   วังคีสพราหมณ์และคณะได้มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดพระเชตวัน  เมื่อพวกพราหมณ์ในคณะเห็นประชาชนจะเดินทางไปเฝ้าพระศาสดา  จึงได้ร้องเชื้อเชิญให้พวกเขามาใช้บริการเคาะกะโหลกศีรษะของญาติเพื่อรู้ที่เกิดของพวกเขา    แต่ประชาชนเหล่านั้นตอบว่า วังคีสะจะรู้อะไร  บุคคลผู้ทัดเทียมกับพระศาสดาของเราย่อมไม่มี  พวกพราหมณ์เหล่านั้น  ต้องการจะพิสูจน์ว่าระหว่างวังคีสะกับพระศาสดาใครจะเก่งกว่ากัน  จึงได้พาวังคีสะร่วมเดินทางไปเฝ้าพระศาสดา  พระศาสดาเมื่อทรงทราบวัตถุประสงค์ของคนเหล่านั้นแล้ว  จึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายนำกะโหลกศีรษะของคนตายที่ไปเกิดในนรก   คนตายที่ไปเกิดในกำเนิดดิรัจฉาน  คนตายที่ไปเกิดในกำเนิดมนุษย์   คนตายที่ไปเกิดเป็นเทวดา   และคนตายที่เป็นพระอรหันต์   มาเรียงกันไว้ตามลำดับ  แล้วให้วังคีสะเคาะ  วังคีสะเคาะแล้วสามารถบอกที่กำเนิดของกะโหลกคนตายของ  4  คนแรกได้อย่างถูกต้อง  แต่พอมาเคาะกะโหลกของพระอรหันต์  วังคีสะบอกไม่ได้ว่าไปเกิดที่ใด  พระศาสดาตรัสถามว่า ท่านไม่รู้หรือ  เมื่อเขากราบทูลว่า  พระเจ้าข้า  ข้าพระองค์ไม่รู้  พระศาสดาตรัสว่า ฉันรู้  วังคีสะได้กราบทูลมนต์ที่จะทำให้ล่วงรู้กะโหลกศีรษะของพระอรหันต์นั้น  แต่พระศาสดาตรัสว่าพระองค์จะประทานมนต์นั้นเฉพาะแก่บุคคลที่เป็นภิกษุเท่านั้น   วังคีสะจึงได้บอกกับพราหมณ์ทั้งหลายในคณะให้ออกไปรออยู่นอกวัดในขณะที่เขาเรียนมนต์อยู่กับพระศาสดา  จากนั้น  พระศาสดาได้ทำพิธีอุปสมบทแก่วังคีสะ    และเมื่ออุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว  พระศาสดาทรงประทานพระกัมมัฏฐานที่มีอาการ 32  เป็นอารมณ์แก่พระวังคีสเถระ  แล้วตรัสว่า เธอจงสาธยายบริกรรมมนต์  เมื่อได้บริกรรมอาการ 32  นั้นผ่านไปเพียง  2-3 วัน วังคีสเถระก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์  เมื่อพวกพราหมณ์ในคณะมาชวนให้ออกไปตระเวนเคาะกะโหลกคนตายอีก  พระวังคีสเถระก็ได้ตอบปฏิเสธไปว่า  ฉันไม่ควรไปแล้ว

ภิกษุทั้งหลาย  ได้ยินคำนั้นแล้ว  เข้าใจว่าพระวังคีสะอวดอ้างตน  ว่าเป็นพระอรหันต์ด้วยความไม่จริง  จึงนำความนั้นกราบบังคมทูลพระศาสดา   พระศาสดาตรัสว่า  ภิกษุทั้งหลาย  พวกเธออย่ากล่าวอย่างนั้น  ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้  บุตรของเราฉลาดในการจุติและปฏิสนธิแล้ว

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  สองพระคาถานี้ว่า

จุตึ  โย  เวทิ  อตฺตานํ
อุปฺปตฺติญฺจ  สพฺพโส
อสตฺตํ  สุคตํ  พุทฺธํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ 

ยสฺส  คตึ    ชานนฺติ
เทวา  คนฺธพฺพมานุสา
ขีณาสวํ  อรหนฺตํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ ฯ

ผู้ใด  รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย
โดยประการทั้งปวง
เราเรียกผู้นั้นซึ่งไม่ข้องไปดี  รู้แล้ว
ว่า  เป็นพราหมณ์.

เทพดา  คนธรรพ์  และหมู่มนุษย์
ย่อมไม่รู้คติของผู้ใด
เราเรียกผู้นั้น  ซึ่งมีอาสวะสิ้นแล้ว
ผู้ไกลจากกิเลส  ว่า  เป็นพราหมณ์.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น