08.เรื่องเดียรถีย์
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในพระเชตะวัน
ทรงปรารภพวกเดียรถีย์
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า น โมเนน
เป็นต้น
พวกเดียรถีย์
จะกล่าวคำอำนวยอวยพร
แก่คนที่นำสิ่งของหรืออาหารมาให้ ว่า “ความเกษมจงมี
ความสุขจงมี อายุจงเจริญ ในที่ชื่อโน้นมีเปือกตม ในที่ชื่อโน้นมีหนาม การไปสู่ที่เห็นปานนั้นไม่ควร”
ในขณะนั้น
เป็นช่วงปฐมโพธิกาล (ช่วง 25
ปีแรกหลังจากตรัสรู้) พระศาสดายังไม่ทรงอนุญาตวิธีอนุโมทนา ภิกษุทั้งหลาย
จึงยังไม่ทำอนุโมทนาแก่พวกมนุษย์ในโรงฉัน
พวกมนุษย์จึงพูดกันว่า “พวกเราได้ฟังมงคลแต่สำนักของเดียรถีย์ทั้งหลาย แต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายนิ่งเฉยหลีกไปเสีย”
ภิกษุทั้งหลายจึงนำความขึ้นกราบทูลพระศาสดา
พระศาสดาจึงทรงอนุญาตว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่นี้ไป
ท่านทั้งหลาย จงทำอนุโมทนา ในที่ทั้งหลายมีโรงฉันเป็นต้น ตามสบายเถิด
จงกล่าวอุปนิสินนกถา(ถ้อยคำที่กล่าวกับบุคคลผู้เข้าใกล้) เถิด”
และภิกษุทั้งหลายได้กระทำตามพุทธานุญาตแล้ว โดยได้กล่าวคำอำนวยอวยพรแก่ญาติโยมที่ถวายทาน
เพราะผลของการกล่าวคำอำนวยอวยพรของภิกษุทั้งหลายนี้เอง จึงมีผู้คนมานิมนต์พระภิกษุทั้งหลายไปรับภัตตาหารมากขึ้นๆ พวกเดียรถีย์กล่าวตำหนิว่า “ พวกเราเป็นมุนีทำความเป็นผู้นิ่ง พวกสาวกของพระสมณโคดม เที่ยวกล่าวกถามากมาย ในที่ทั้งหลายมีโรงฉันเป็นต้น”
พระศาสดา
ทรงสดับความนั้นแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวว่ามุนี เพราะเหตุสักว่าเป็นผู้นิ่ง
เพราะคนบางพวกไม่รู้ ย่อมไม่พูด
บางพวกไม่พูด
เพราะความเป็นผู้ไม่แกล้วกล้า
บางพวกไม่พูด เพราะตระหนี่ว่า
คนเหล่าอื่นอย่ารู้เนื้อความอันดียิ่งนี้ของเรา เพราะฉะนั้น
คนไม่ชื่อว่ามุนี
เพราะเหตุสักว่าเป็นคนนิ่ง แต่ชื่อว่าเป็นมุนี เพราะยังบาปให้สงบ”
จากนั้น
พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท
สองพระคาถานี้ว่า
น
โมเนน มุนิ โหติ
มุฬฺหรูโป
อวิทฺทสุ
โย จ
ตุลํว ปคฺคยฺห
วรมาทาย
ปณฺฑิโต ฯ
ปาปานิ
ปริวชฺเชติ
ส
มุนิ เตน โส
มุนิ
โย
มุนาติ อุโภ โลเก
มุนิ
เตน ปวุจฺจติ ฯ
บุคคลเขลา
ไม่รู้โดยปกติ
ไม่ชื่อว่าเป็นมุนี
เพราะความเป็นผู้นิ่ง
ส่วนผู้ใดเป็นบัณฑิต
ถือธรรมอันประเสริฐ ดุจบุคคลประคองตราชั่ง.
เว้นบาปทั้งหลาย ผู้นั้นเป็นมุนี เพราะเหตุนั้น
ผู้ใดรู้อรรถทั้ง 2 ในโลก
ผู้นั้นเรากล่าวว่า เป็นมุนี
เพราะเหตุนั้น.
ผู้นั้นเรากล่าว่า เป็นมุนี
เพราะเหตุนั้น.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก
บรรลุอริยผลทั้งหลาย
มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น