07.เรื่องสัมพหุลภิกษุ
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน
ทรงปรารภภิกษุมากรูป
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
เมตฺตาวิหารี เป็นต้น
พระโสณกุฏิกัณณเถระ ได้รับนิมนต์จากมหาอุบาสิกาโยมมารดา ให้ไปแสดงธรรมโปรด พระเถระได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์
ที่สั่งทำเป็นพิเศษพร้อมด้วยมณฑป
แสดงธรรมโปรดโยมมารดาและหมู่บริวารอยู่ที่บริเวณใจกลางเมือง ขณะจัดให้มีงานบุญครั้งนี้เป็นช่วงเวลากลางคืน
พวกโจรได้ฉวยโอกาสตอนที่มหาอุบาสิกาและหมู่บริวารไม่อยู่บ้าน ทำการปล้นบ้านของมหาอุบาสิกา
ทั้งนี้หัวหน้าโจรไปยืนคุมเชิงอยู่ในบริเวณงานแสดงธรรมนั้น ซึ่งเขาได้วางแผนไว้ว่า จะฆ่ามหาอุบาสิกาโยมมารดาของพระเถระนั้นทันที หากนางจะกลับมาบ้านก่อนที่พวกโจรจะปล้นเสร็จ
หญิงคนใช้ในบ้านได้มาแจ้งข่าวเรื่องโจรเข้าปล้นบ้านให้มหาอุบาสิกาได้ทราบถึง
3
ครั้ง แต่นางก็มิได้ให้ความสนใจ
มิหนำซ้ำยังขับไล่หญิงคนใช้นั้นกลับบ้านไปทุกครั้ง โดยนางบอกว่าอย่ามารบกวน นางกำลังฟังธรรมยังไม่จบ ฝ่ายนายโจรที่ยืนคุมเชิงอยู่นั้น
ก็ได้ยินคำพูดที่มหาอุบาสิกากล่าวกับหญิงคนใช้ตลอด
เกิดความประทับใจมาก ได้เดินออกจากบริเวณที่จัดงานนั้น
ไปบอกบริวารโจรให้ขนเข้าของทั้งหมดกลับไปคืนที่บ้านของมหาอุบาสิกาดังเดิม
จากนั้นได้กลับมาขออุปสมบทจากพระโสณกุฏิกัณณเถระ เมื่อพวกภิกษุอดีตโจรเหล่านี้นำหัวข้อพระกัมมัฏฐานจากพระโสณกุฏิกัณณเถระเดินทางเข้าป่าไปปฏิบัติธรรมอยู่ในที่สงัดแห่งหนึ่ง
พระศาสดาได้แผ่พระรัศมีไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าของภิกษุเหล่านี้ แล้วตรัสพระธรรมบท 9 พระคาถานี้ว่า
เมตฺตาวิหาริ
โย ภิกฺขุ
ปสนฺโน
พุทฺธสาสเน
อธิคจฺเฉ
ปทํ สนฺตํ
สงฺขารูปสมํ
สุขํ ฯ
สิญฺจ
ภิกฺขุ อิมํ นาวํ
สิตฺตา
เต ลหุเมสฺสติ
เฉตวา
ราคัญฺจ โทสญฺจ
ตโต
นิพฺพานเมหิสิ ฯ
ปญฺจ
ฉินฺเท ปญฺจ ชเห
ปญจ
จุตฺตริ ภาวเย
ปญฺจ
สงฺคาติโต ภิกฺขุ
โอฆติณฺโณติ
วุจฺจติ ฯ
ฌาย
ภิกฺขุ มา จ
ปมาโท
มา
เต กามคุเณ ภมสฺสุ
จิตฺตํ
มา
โลหคุฬํ คิลี ปมตฺโต
มา
กนฺที ทุกฺขมิทนฺติ ฑยฺหมาโน ฯ
นตฺถิ
ฌานํ อปญฺญสฺส
ปญฺญา
นตฺถิ อฌายโต
ยมฺหิ
ฌานญฺจ ปญฺญา จ
ส
เว นิพพานสนฺติเก ฯ
สุญฺญาคารํ
ปวิฏฺฐสฺส
สนตจิตฺตสส
ภิกฺขุโน
อมานุสี
รตี โหติ
สมฺมา
ธมฺมํ วิปสฺสโต ฯ
ยโต
ยโต สมฺมสติ
ขนธานํ
อุทยพฺพยํ
ลภตี
ปีติปาโมชฺชํ
อมตํ
ตํ วิชานตํ ฯ
ตตฺรายมาทิ ภวติ
อิธ
ปญฺญสฺส ภิกฺขุโน
อินฺทริยคุตฺติ สนฺตุฏฺฐี
ปาฏิโมกฺเข
จ สํวโร
มิตฺเต
ภชสฺสุ กลฺยาเณ
สุทฺธาชีเว
อตนฺทิเต ฯ
ปฏิสนฺถารวุตฺยสฺส
อาจารกุสโล
สิยา
ตโต
ปาโมชฺชพหุโล
ทุกฺขสฺสนฺตํ
กริสฺสติ ฯ
ภิกษุใด
มีปกติอยู่ด้วยเมตตา
เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
ภิกษุนั้น
พึงบรรลุบทอันสงบ
เป็นที่เข้าไประงับสังขาร อันเป็นสุข.
ภิกษุ
เธอจงวิดเรือนี้
เรือที่เธอวิดแล้ว จักถึงเร็ว
เธอตัดราคะและโทสะได้แล้ว
แต่นั้นจักถึงพระนิพพาน.
ภิกษุพึงตัดธรรม 5
อย่าง
พึงละธรรม 5 อย่าง
และพึงยังคุณธรรม 5
ให้เจริญยิ่งๆขึ้น
ภิกษุผู้ล่วงกิเลสเครื่องข้อง 5
อย่างได้แล้ว
เราเรียกว่า
ผู้ข้ามโอฆะได้.
ภิกษุ
เธอจงเพ่งและอย่าประมาท
จิตของเธออย่าหมุนไปในกามคุณ
เธออย่าเป็นผู้ประมาทกลืนกินก้อนแห่งโลหะ
เธออย่าเป็นผู้อันกรรมแผดเผาอยู่
คร่ำครวญว่า
นี้ทุกข์.
ฌานย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่มีปัญญา
ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน
ฌานและปัญญาย่อมไม่มีในบุคคลใด
บุคคลนั้นแล
ตั้งอยู่ในที่ใกล้นิพพาน.
ความยินดีมิใช่ของมีอยู่แห่งมนุษย์
ย่อมมีแก่ภิกษุผู้เข้าไปแล้วสู่เรือนว่าง
ผ็มีจิตสงบแล้ว ผู้เห็นแจ้งธรรมอยู่โดยชอบ”
ภิกษุพิจารณาอยู่ ซึ่งความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป
แห่งสังขารทั้งหลายโดยอาการใดๆ
เธอย่อมได้ปีติและปราโมทย์โดยอาการนั้นๆ
การได้ปีติและปราโมทย์นั้น
เป็นธรรมอันไม่ตายของผู้รู้แจ้งทั้งหลาย.
ธรรมนี้ คือความคุ้มครองซึ่งอินทรีย์ 1
ความสันโดษ 1
ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ 1
เป็นเบื้องต้นในธรรมอันไม่ตายนั้น
มีอยู่แก่ภิกษุผู้มีปัญญาในพระศาสนานี้.
เธอจงคบมิตรที่ดีงาม มีอาชีวะอันหมดจด
ไม่เกียจคร้าน
ภิกษุพึงเป็นผู้ประพฤติในปฏิสันถาร
พึงเป็นผู้ฉลาดในอาจาระ
เพราะเหตุนั้น
เธอจักเป็นผู้มากด้วยปีติปราโมทย์
กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
เมื่อพระธรรมบทแต่ละพระคาถาจบลง ภิกษุ 100 รูป(ในจำนวน 900 รูป)บรรลุพระอรหัตตผล
พร้อมด้วยปฏิสัมภทาทั้งหลาย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น