10.เรื่องเมณฑกเศรษฐี
พระศาสดา
เมื่อทรงอาศัยภัททิยนคร
ประทับอยู่ในชาติยาวัน
ทรงปรารภเมณฑกเศรษฐี
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
สุทสฺสํ วชฺชมญฺเญสํ เป็นต้น
ในกาลครั้งหนึ่ง
ในระหว่างเสด็จจาริกสู่แคว้นอังคะและแคว้นอุตตระ
พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยที่จะบรรลุโสดาปัติผลของบุคคล 6 คนเหล่านี้ คือ 1. เมณฑกเศรษฐี
2.ภรรยาของเศรษฐี ชื่อนางจันทปทุมา 3. บุตรชื่อธนัญชัยเศรษฐี 4. หญิงสะใภ้ชื่อนางสุมนเทวี 5. หลานสาวชื่อวิสาขา 6.ทาสชื่อปุณณะ
จึงเสด็จไปสู่ภัททิยนคร
ประทับอยู่ในชาติยาวัน
เมณฑกเศรษฐีผู้นี้ มีฐานะร่ำรวยมาก ที่เป็นเช่นนี้ ในพระคัมภีร์กล่าวว่า เป็นเพราะเมณฑกเศรษฐีได้พบรูปปั้นแพะทองคำ ประมาณเท่าช้าง เท่าม้า
และเท่าโคถึก
โผล่ขึ้นมาจากแผ่นดินที่บริเวณหลังบ้าน
ซึ่งกินบริเวณกว้างถึง 8 กรีส
เพราะเหตุนี้เศรษฐีคนนี้จึงมีชื่อว่า เมณฑกเศรษฐี แปลว่า
เศรษฐีแพะ
ในพระคัมภีร์บรรยายต่อไปว่าว่า
ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี
เขาได้เคยบริจาคทรัพย์สร้างวัดถวายพระวิปัสสีพระพุทธเจ้า และถวายสิ่งของต่างๆ เช่น
ธรรมาสน์ทำด้วยทองคำสำหรับแสดงพระธรรมเทศนา
พร้อมด้วยตั่งทองคำสำหรับก้าวขึ้นสู่ธรรมาสน์เป็นรูปแพะทั้ง 4
ทิศ เป็นต้น เมื่อสิ่งก่อสร้างต่างๆในวัดสำเร็จแล้ว
เขาก็ได้กราบทูลอาราธนาพระวิปัสสีพุทธเจ้ามาฉันภัตตาหาร พร้อมด้วยภิกษุทั้งหลาย ตลอดเวลา 4
เดือน
ต่อมาในอีกอดีตชาติหนึ่ง
เขาเกิดเป็นเศรษฐีในเมืองพาราณสี
ในกาลครั้งหนึ่ง
ได้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ผู้คนอดอยากข้าวปลาอาหาร
ทั่วทุกหนทุกแห่ง
วันหนึ่งเศรษฐีได้ให้คนรับใช้ทำอาหารไว้พอดีสำหรับตนเองและบริวารรับประทาน ได้มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ซึ่งเพิ่งออกจากสมาบัติ มายืนบิณฑบาตอยู่ที่หน้าประตูบ้าน
เขาได้บริจาคอาหารทั้งหมดทั้งในส่วนของตนเองและส่วนของบริวารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น
เพราะผลแห่งการถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าที่เพิ่งออกจากสมาบัติ ทำให้หม้อข้าวของเศรษฐี กลับมีข้าวอยู่เต็ม
และยุ้งยางต่างๆที่ว่างเปล่าก็กลับเต็มไปด้วยข้าวเปลือก
เมื่อเมณฑกเศรษฐี ได้ทราบข่าวว่า
พระศาสดาเสด็จที่เมืองภัททิยะมาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ก็ได้เข้าไปถวายบังคม
หลังจากที่ได้ฟังธรรมจากพระศาสดาแล้ว
ท่านพร้อมด้วยบุคคลอื่นรวม 6 คน(ตามที่มีชื่อระบุข้างต้น) ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล และท่านได้กราบทูลพระศาสดาว่า
ในระหว่างทางที่ท่านเดินทางมาเฝ้าพระศาสดานั้น ท่าน
ได้พบกับพวกเดียรถีย์
และพวกเดียรถีย์เหล่านี้ได้ห้ามปรามมิให้ท่านมา พระศาสดาจึงตรัสกับท่านเศรษฐีว่า “คฤหบดี
ขึ้นชื่อว่าสัตว์เหล่าใดย่อมไม่เห็นโทษของตนแม้มาก
ย่อมโปรยโทษของชนเหล่าอื่นแม้ไม่มีอยู่กระทำให้มี ราวะบุคคลโปรยแกลบลงในที่นั้น ๆ ฉะนั้น”
จากนั้น
พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท
พระคาถานี้ว่า
สุทสฺสํ
วชฺชมญเญสํ
อตฺตโน
ปน ทุสฺทสํ
ปเรสํ
หิ โส วชฺชานิ
โอปุนาติ
ยถา ภุสํ
อตฺตโน
ปน ฉาเทติ
กลึว
กิตวา สโฐ ฯ
โทษของบุคคลเหล่าอื่นเห็นง่าย
ฝ่ายโทษของตนเห็นได้ยาก
เพราะว่า
บุคคลนั้น
ย่อมโปรยโทษของบุคคลเหล่าอื่น
เหมือนบุคคลโปรยแกลบ
แต่ว่าย่อมปกปิด(โทษ)ของตน
เหมือนพรานปกปิดร่างกายด้วยเครื่องปกปิดฉะนั้น.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก
บรรลุอริยผลทั้งหลาย
มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น