37.เรื่องพระธรรมทินนาเถรี
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน
ทรงปรารภภิกษุณีชื่อธรรมทินนา
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ยสฺส ปุเร จ
เป็นต้น
ในวันหนึ่ง
ในกรุงราชคฤห์
วิสาขอุบาสกสามีของนางธรรมทินนา
ไปฟังธรรมของพระศาสดาแล้วได้บรรลุพระอนาคามิผล เมื่อกลับมาบ้าน ได้กล่าวกับภรรยาว่า
นางจงรับทรัพย์สมบัติทั้งปวงในบ้านนี้ไว้ดูแลเถิด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะไม่บริหารจัดการเรื่องใดๆทั้งสิ้น
นางธรรมทินนาได้ยินสามีกล่าวเช่นนั้นจึงตอบไปว่า “ใครจักรับน้ำลายที่ท่านบ้วนทิ้ง” นางได้ขออนุญาตสามีบวชเป็นนางภิกษุณี เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ก็ได้เข้าไปบวชอยู่ในสำนักของนางภิกษุณี หลังจากที่นางบวชเป็นภิกษุณีได้ไม่นาน
นางก็ได้ติดตามพวกภิกษุณีทั้งหลายไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่งในชนบท ต่อมาไม่นานนางก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ แล้วเดินทางกลับมาที่กรุงราชคฤห์
เมื่อวิสาขอุบาสก
ทราบว่าภิกษุณีธรรมทินนากลับมาแล้ว
ก็ได้ไปพบและได้สอบถามปัญหาทางธรรมด้วย
เมื่อวิสาขอุบาสกสอบถามในเรื่องที่อยู่ในขอบข่ายของโสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค
และอนาคามิมรรค
นางก็สามารถตอบได้อย่างฉะฉาน
แต่พอวิสาขอุบาสกสอบถามธรรมในส่วนที่เกินเลยไปจากนั้น พระธรรมทินนาเถรีตอบว่า
เป็นการถามปัญหาที่เลยวิสัยสามารถของเขาไปเสียแล้ว และได้แนะนำให้ไปกราบทูลถามพระศาสดาโดยตรง จากนั้นวิสาขอุบาสกได้ลุกจากที่สนทนา
เข้าไปกราบทูลเรื่องที่สนทนากันนี้กับพระศาสดา
พระศาสดาตรัสว่า “ธรรมทินนาธิดาของเรากล่าวดีแล้ว ด้วยเราเมื่อจะแก้ปัญหานั่น ก็พึงแก้อย่างนั้นเหมือนกัน”
จากนั้น
พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
ยสฺส
ปุเร จ ปจฺฉา
จ
มชฺเฌ
จ นตฺถิ กิญฺจนํ
อกิญฺจนํ
อนาทานํ
ตมหํ
พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ
ความกังวลในก่อน ในภายหลัง
และในท่ามกลาง
ของผู้ใด ไม่มี
เราเรียกผู้นั้น ซึ่งไม่มีความกังวล
ไม่มีความยึดมั่นว่า เป็นพราหมณ์.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก
บรรลุอริยผลทั้งหลาย
มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น