01.เรื่องของพระองค์
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในกรุงโกสัมพี
ทรงปรารภพะระองค์
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อหํ นาโคว
เป็นต้น
ในกาลครั้งหนึ่ง พราหมณ์บิดาของนางมาคันทิยา มีความประทับใจในบุคลิกภาพของพระศาสดา
และได้เสนอนางมาคันทิยาบุตรสาวผู้มีงดงามมากนี้เป็นบาทปริจาริกาของพระศาสดา
แต่พระศาสดาทรงปฏิเสธและตรัสว่าพระองค์ไม่มีความประสงค์จะสัมผัสสิ่งซึ่งเต็มไปด้วยอุจจาระและปัสสาวะแม้ด้วยเท้าของพระองค์ เมื่อฟังพระดำรัสนี้แล้ว
บิดาและมารดาของนางมาคันทิยาก็ได้บรรลุอนาคามิผล แต่นางมาคันทิยาถือว่าพระศาสดาเป็นศัตรูฉกาจฉกรรจ์ของนาง และนางหาทางที่จะแก้แค้นพระศาสดาให้ได้
ในกาลต่อมา
นางมาคันทิยาได้รับการสถาปนาเป็นหนึ่งใน 3 มเหสีเอกของพระเจ้าอุเทน
เมื่อพระนางมาคันทิยาทรงทราบว่าพระศาสดาเสด็จมายังกรุงโกสัมพี
พระนางก็ได้ว่าจ้างคนให้มาตะโกนด่าว่าพระศาสดา ขณะที่พระองค์เสด็จออกบิณฑบาตในเมือง
พวกคนที่ถูกจ้างวานมาเหล่านั้นก็ได้ตะโกนด่าพระศาสดาว่า “เจ้าเป็นโจร
เจ้าเป็นคนพาล เจ้าเป็นคนหลง เจ้าเป็นอูฐ
เจ้าเป็นโค เจ้าเป็นลา เจ้าเป็นสัตว์นรก เจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน สุคติไม่มีสำหรับเจ้า ทุคติเท่านั้นอันเจ้าพึงหวัง”
พระอานนท์สดับคำด่าเหล่านั้นแล้ว ได้กราบทูลพระศาสดา
ให้เสด็จออกจากเมืองโกสัมพีไปยังที่อื่นเสีย แต่พระศาสดาตรัสว่า เมื่อไปอยู่ที่เมืองอื่น ก็อาจจะถูกด่าแบบนี้อีก
ซึ่งก็จะต้องย้ายหนีไปอยู่ที่เมืองอื่นต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น ณ
ที่ใด
ก็ควรจะให้เรื่องนั้นสงบระงับเสียก่อน
จึงค่อยไป ณ ที่แห่งอื่น และพระศาสดาได้ตรัสกับพระอานนท์ด้วยว่า “อานนท์ เราเป็นเช่นกับช้างที่เข้าสู่สงคราม การอดทนต่อลูกศรที่แล่นมาจาก 4 ทิศ
เป็นภาระของช้างที่เข้าสู่สงคราม
ฉันใด
ชื่อว่าการอดทนถ้อยคำที่ชนทุศีลแม้มากกล่าวแล้ว เป็นภาระของเราฉันนั้นเหมือนกัน”
จากนั้น
พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท
สามพระคาถานี้ว่า
อหํ
นาโคว สงฺคาเม
จาปาโต
ปติตํ สรํ
อติวากฺยํ
ติติกฺขิสฺสํ
ทุสฺสีโล
หิ พหุชฺชโน ฯ
ทนฺตํ
นยนฺติ สมิตึ
ทนฺตํ
ราชาภิรูหติ
ทนฺดต
เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ
โยติวากฺยํ
ติติกฺขติ ฯ
วรมสฺสตรา
ทนฺตา
อาชานียา
จ สินฺธวา
กุญฺชรา
จ มหานาคา
อตฺตทนฺโต
ตโต วรํ ฯ
เราจักอดกลั้นคำล่วงเกิน
เหมือนช้างอดทนลูกศรที่ตกจากแล่งในสงครามฉะนั้น
เพราะชนเป็นอันมากเป็นผู้ทุศีล
ชนทั้งหลาย
ย่อมนำสัตว์พาหนะที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ประชุม
พระราชาย่อมทรงสัตว์พาหนะที่ฝึกแล้ว.
บุคคลผู้อดกลั้นคำล่วงเกินได้ ฝึกตนแล้ว
เป็นผู้ประเสริฐ ในมนุษย์ทั้งหลาย
ม้าอัสดร1
ม้าสินธพผู้อาชาไนย1
ช้างชนิดกุญชร1
ที่ฝึกแล้ว
ย่อมเป็นสัตว์ประเสริฐ
แต่บุคคลที่มีตนฝึกแล้ว
ย่อมประเสริฐกว่า(สัตว์พิเศษนั้น)”
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง มหาชนแม้ทั้งหมดนั้น ผู้รับสินจ้างแล้วยืนด่าอยู่ในที่ทั้งหลาย มีถนนและทางแยกเป็นต้น บรรลุโสดาปัตติผล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น