วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558

พราหมณวรรค:16.เรื่องอักโกสภารทวาชพราหมณ์



16. เรื่องอักโกสภารทวาชพราหมณ์

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน  ทรงปรารภอักโกสกภารทวาชพราหมณ์  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  อกฺโกสํ   เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง  นางพราหมณีชื่อธนัญชานี  ของภารทวาชพราหมณ์  เป็นพระโสดาบัน  และติดนิสัยชอบหลุดคำพูดออกมาโดยมิได้ตั้งใจ เมื่อตอนไอ  ตอนจาม หรือตอนเกิดทำของหลุดมือ ว่า  นโม  ตัสสะ  ภะคะวะโต  อะระหะโต  สัมมาสัมพุทธัสสะ”(ความนอบน้อม  จงมีแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า  ผู้เป็นพระอรหันต์  ตรัสรู้เองโดยชอบ  พระองค์นั้น)  มีอยู่วันหนึ่ง  ภารทวาชพราหมณ์เชื้อเชิญพวกเพื่อนๆมารับประทานอาหารที่บ้าน  และในขณะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารกันอยู่นั้น  นางพราหมณีเกิดทำของหลุดมือจึงหลุดคำพูดเดิมนั้นออกมา  เนื่องจากคำที่หลุดออกมานั้นเป็นคำแสดงความนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า   พราหมณ์ผู้สามีจึงโกรธมาก  ดุด่าว่ากล่าวนางพราหมณีว่า อีหญิงถ่อย  ทำอะไรพลาดเป็นไม่ได้  ต้องกล่าวสรรเสริญพระสมณะหัวโล้นนั้นอย่างนี้ทุกที  พราหมณ์นั้นจึงไปเฝ้าพระศาสดา  โดยหวังว่าจะไปโต้วาทีเพื่อให้พระองค์จนมุมตอบไม่ได้  แล้วได้ตั้งคำถามที่ท้าทายว่า บุคคลฆ่าอะไรสิ  จึงอยู่เป็นสุข  ฆ่าอะไรสิ  จึงไม่เศร้าโศก  ข้าแต่พระสมณโคดม  พระองค์ย่อมชอบใจซึ่งการฆ่าธรรมอะไรสิ  ซึ่งเป็นธรรมอันเอก  พระศาสดาตรัสตอบว่า  บุคคลฆ่าความโกรธได้แล้ว  จึงอยู่เป็นสุข  ฆ่าความโกรธได้แล้ว  จึงไม่เศร้าโศก  พราหมณ์  พระอริยเจ้าทั้งหลาย  ย่อมสรรเสริญการฆ่าความโกรธอันมีรากเป็นพิษ   มียอดหวาน  เพราะบุคคลนั้นฆ่าความโกรธนั้นได้แล้ว  ย่อมไม่เศร้าโศก  เมื่อได้ฟังดำรัสนี้ของพระศาสดาแล้ว  พราหมณ์นั้นเกิดความเลื่อมใส  ขออุปสมบทเป็นภิกษุ  และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

อักโกสกภารทวาชพราหมณ์  ซึ่งเป็นน้องชาย   เมื่อได้ทราบว่าพี่ชายบวชไปแล้ว  ก็โกรธและได้ไปด่าพระศาสดาด้วยวาจาหยาบคาย  พระศาสดาได้ตรัสถามเขาว่า พราหมณ์  สมมุติว่ามีแขกมาที่บ้านของท่าน  และท่านได้ยกสำรับกับข้าวมาให้เขารับประทาน  แต่เขาไม่ยอมรับประทานอาหารนั้น  ได้ลุกออกจากบ้านท่านไป  สำรับับข้าวนั้นจะตกเป็นของใคร  เมื่อเขาตอบว่าก็ตกเป็นของเขาเอง  พระศาสดาจึงตรัสว่า ในทำนองเดียวกัน  พราหมณ์   เมื่อตถาคตไม่รับคำด่านั้น  คำด่านั้นก็จะย้อนกลับไปหาท่าน  เมื่อถึงตอนนี้  อักโกสกภารทวาชพราหมณ์  ก็เกิดความสำนึก  เสื่อมใสในพระศาสดา  ขออุปสมบทและได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
 
ฝ่ายน้องชายอีก  2  คน  คือ  สุนทริกภารทวาชพราหมณ์  และพิลังคกภารทวาชพราหมณ์  ก็ได้ไปด่าพระศาสดาเหมือนกัน  และได้ถูกพระศาสดาอบรมสั่งสอน  ขออุปสมบทเป็นภิกษุ  และได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
อยู่มาวันหนึ่ง  ภิกษุสนทนากันในธรรมสภาว่า  ผู้มีอายุทั้งหลาย   คุณของพระพุทธเจ้าน่าอัศจรรย์หนอ  เมื่อพราหมณ์พี่น้องทั้ง 4 ด่าอยู่  พระศาสดาไม่ตรัสอะไรๆ  กลับเป็นที่พึ่งของพราหมณ์เหล่านั้น
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถาม   ถึงหัวข้อสนทนาของภิกษุเหล่านั้น  แล้วตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย  เราไม่ประทุษร้าย  ในชนทั้งหลายผู้ประทุษร้าย  เพราะความที่เราประกอบด้วยกำลังคือขันติ  ย่อมเป็นที่พึ่งของมหาชนโดยแท้

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า
อกฺโกสํ  วธพนฺธญฺจ
อทุฏฺโฐ  โย  ติติกฺขติ
ขนฺติพลํ  พลานีกํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺรหฺมณํ 

ผู้ใด  ไม่ประทุษร้าย  อดกลั้นซึ่งคำด่า
และการตีและการจองจำได้
เราเรียกผู้นั้น  ซึ่งมีกำลังคือขันติ
มีหมู่พล  ว่า  เป็นพราหมณ์.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดปัตติผลเป็นต้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น