วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สุขวรรค:01.เรื่องระงับความทะเลาะแห่งหมู่พระญาติ



01.เรื่องระงับความทะเลาะแห่งหมู่พระญาติ

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในแคว้นสักกะ  ทรงปรารภหมู่พระญาติ  เพื่อระงับความทะเลาะ  จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  สุสุขํ  วต  เป็นต้น

แคว้นกบิลพัสดุ์ของพวกเจ้าศากยะ  และแคว้นเทวทหะของพวกเจ้าโกลิยะ  ตั้งอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำโรหิณี  พวกเกษตรกรของทั้งสองแคว้นต่างทำนาด้วยการใช้น้ำจากแม่น้ำแห่งนี้  มีอยู่ปีหนึ่ง  เกิดภาวะฝนแล้งมาก  น้ำในแม่น้ำมีน้อยไม่เพียงพอที่จะนำไปใช้ในการในเลี้ยงข้าวกล้าและพืชอย่างอื่นที่เพาะปลูกไว้  ทำให้ข้าวกล้าและพืชอย่างอื่นเหี่ยวเฉาและตายไป  เกษตรกรของทั้งสองแคว้นต้องการจะผันน้ำจากแม่น้ำไปใช้ในส่วนของตนเพิ่มปริมาณมากขึ้น   และไม่ต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งผันน้ำไปใช้  ทั้งสองฝ่ายอ้างว่า หากข้าวกล้าของฝ่ายตนเสียหายแต่ละฝ่ายก็ไม่พร้อมที่จะนำเงิน หรือทรัพย์อื่นไปซื้อหรือแลกเปลี่ยนอาหารจากอีกฟากฝั่งหนึ่งมาใช้บริโภค

เมื่อประชาชนของทั้งสองแคว้นต่างต้องการน้ำเพื่อนำมาใช้ของฝ่ายตนเพียงฝ่ายเดียวอย่างนี้  และก็มีการกล่าวกระทบกระทั่งเปรียบเปรย   มีการกล่าวหา  และมีการนำเรื่องบรรพบุรุษของอีกฝ่ายมาก่นด่าประณามประชดประชันซึ่งกันและกัน   จึงเกิดความขัดแย้งกันขึ้น  เริ่มแรกก็เป็นการขัดแย้งระหว่างเกษตรกรกับเกษตรของทั้งสองฝั่ง  และได้ลุกลามเป็นความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าของทั้งสองเมือง   และระหว่างผู้ปกครองประเทศในที่สุด  จึงเกิดความตึงเครียดระหว่างสองเมือง เมื่อการเจรจาต่อรองกันทางการทูตไม่เป็นผล  ก็มีการตระเตรียมอาวุธยุทโธปรณ์ที่พร้อมนำมาใช้ประหัตถ์ประหารกัน  เป็นการพัฒนาความขัดแย้ง ไปสู่การใช้อาวุธเป็นเครื่องมือในนโยบายต่างประเทศ

พระศาสดา  ทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง  ทอดพระเนตรเห็นหมู่พระญาติทั้งสองฝ่าย  ตั้งกองกำลังเรียงรายอยู่สองฝั่งแม่น้ำ กำลังตระเตรียมทำสงครามแย่งน้ำกันเช่นนั้น  ทรงดำริว่า  หากพระองค์ไม่เสด็จไปห้ามปรามพวกเขาไว้  พวกพระญาติก็จะรบกันถึงแก่พินาศทั้งสองฝ่าย  พระองค์จึงได้เสด็จไปทางอากาศ  แล้วประทับนั่ง อยู่ในอากาศตรงกลางแม่น้ำโรหิณี  เมื่อพวกพระญาติเห็นพระศาสดาก็ทิ้งอาวุธ และทำการถวายบังคม  พระศาสดาเมื่อได้ทรงสอบถามทั้งสองฝ่ายแล้ว ได้ตรัสเตือนพระญาติทั้งสองฝ่าย  แล้วตรัสว่า มหาบพิตร  เพราะเหตุไร? พวกท่านจึงกระทำกันแบบนี้  หากไม่มีคถาคตเสียแล้ว  ในวันนี้  โลหิตก็จะไหลนอง  ท่านทั้งหลาย  ทำสิ่งที่ไม่ควร  ท่านทั้งหลาย  เป็นผู้มีเวร 5   แต่ตถาคตไม่มีเวร  ท่านทั้งหลายเป็นผู้แสวงหากามคุณอยู่  แต่ตถาคตไม่ได้แสวงหา

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  สามพระคาถานี้ว่า

สุสุขํ  วต  ชีวาม
เวริเนสุ  อเวริโน 
เวริเนสุ  มนุสเสสุ 
วิหราม  อเวริโน ฯ

สุสุขํ  วต  ชีวาม
อาตุเรสุ  อนาตุรา
อาตุเรสุ  มนุสฺเสสุ
วิหราม  อนาตุรา ฯ

สุสุขํ  วต  ชีวาม 
อุสฺสุเกสุ  อนุสฺสุกา
อุสฺสุเกสุ  มนุสฺเสสุ
วิหราม  อนุสสฺสุกา ฯ

ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน
พวกเรา ไม่มีเวร  เป็นอยู่สบายดีหนอ
ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน  พวกเรา  ไม่มีเวรอยู่ .
ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความเดือดร้อนกัน
พวกเรา  ไม่มีความเดือดร้อน  เป็นอยู่สบายดีหนอ  
ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความเดือดร้อนกัน
พวกเรา  ไม่มีความเดือดร้อนอยู่. 

ในหมู่มนุษย์ผู้ขวนขวายกัน
พวกเรา  ไม่มีความขวนขวาย  เป็นอยู่สบายดีหนอ
ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความขวนขวาย
พวกเรา  ไม่มีความขวนขวายอยู่.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น