01.เรื่องระงับความทะเลาะแห่งหมู่พระญาติ
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในแคว้นสักกะ
ทรงปรารภหมู่พระญาติ
เพื่อระงับความทะเลาะ
จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
สุสุขํ วต เป็นต้น
แคว้นกบิลพัสดุ์ของพวกเจ้าศากยะ และแคว้นเทวทหะของพวกเจ้าโกลิยะ ตั้งอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำโรหิณี
พวกเกษตรกรของทั้งสองแคว้นต่างทำนาด้วยการใช้น้ำจากแม่น้ำแห่งนี้ มีอยู่ปีหนึ่ง
เกิดภาวะฝนแล้งมาก
น้ำในแม่น้ำมีน้อยไม่เพียงพอที่จะนำไปใช้ในการในเลี้ยงข้าวกล้าและพืชอย่างอื่นที่เพาะปลูกไว้
ทำให้ข้าวกล้าและพืชอย่างอื่นเหี่ยวเฉาและตายไป เกษตรกรของทั้งสองแคว้นต้องการจะผันน้ำจากแม่น้ำไปใช้ในส่วนของตนเพิ่มปริมาณมากขึ้น และไม่ต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งผันน้ำไปใช้ ทั้งสองฝ่ายอ้างว่า
หากข้าวกล้าของฝ่ายตนเสียหายแต่ละฝ่ายก็ไม่พร้อมที่จะนำเงิน
หรือทรัพย์อื่นไปซื้อหรือแลกเปลี่ยนอาหารจากอีกฟากฝั่งหนึ่งมาใช้บริโภค
เมื่อประชาชนของทั้งสองแคว้นต่างต้องการน้ำเพื่อนำมาใช้ของฝ่ายตนเพียงฝ่ายเดียวอย่างนี้ และก็มีการกล่าวกระทบกระทั่งเปรียบเปรย มีการกล่าวหา
และมีการนำเรื่องบรรพบุรุษของอีกฝ่ายมาก่นด่าประณามประชดประชันซึ่งกันและกัน จึงเกิดความขัดแย้งกันขึ้น เริ่มแรกก็เป็นการขัดแย้งระหว่างเกษตรกรกับเกษตรของทั้งสองฝั่ง
และได้ลุกลามเป็นความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าของทั้งสองเมือง และระหว่างผู้ปกครองประเทศในที่สุด จึงเกิดความตึงเครียดระหว่างสองเมือง
เมื่อการเจรจาต่อรองกันทางการทูตไม่เป็นผล
ก็มีการตระเตรียมอาวุธยุทโธปรณ์ที่พร้อมนำมาใช้ประหัตถ์ประหารกัน เป็นการพัฒนาความขัดแย้ง
ไปสู่การใช้อาวุธเป็นเครื่องมือในนโยบายต่างประเทศ
พระศาสดา
ทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง
ทอดพระเนตรเห็นหมู่พระญาติทั้งสองฝ่าย
ตั้งกองกำลังเรียงรายอยู่สองฝั่งแม่น้ำ กำลังตระเตรียมทำสงครามแย่งน้ำกันเช่นนั้น ทรงดำริว่า
หากพระองค์ไม่เสด็จไปห้ามปรามพวกเขาไว้
พวกพระญาติก็จะรบกันถึงแก่พินาศทั้งสองฝ่าย พระองค์จึงได้เสด็จไปทางอากาศ แล้วประทับนั่ง
อยู่ในอากาศตรงกลางแม่น้ำโรหิณี
เมื่อพวกพระญาติเห็นพระศาสดาก็ทิ้งอาวุธ และทำการถวายบังคม พระศาสดาเมื่อได้ทรงสอบถามทั้งสองฝ่ายแล้ว
ได้ตรัสเตือนพระญาติทั้งสองฝ่าย
แล้วตรัสว่า “ มหาบพิตร เพราะเหตุไร? พวกท่านจึงกระทำกันแบบนี้ หากไม่มีคถาคตเสียแล้ว ในวันนี้
โลหิตก็จะไหลนอง ท่านทั้งหลาย ทำสิ่งที่ไม่ควร ท่านทั้งหลาย
เป็นผู้มีเวร 5 แต่ตถาคตไม่มีเวร ท่านทั้งหลายเป็นผู้แสวงหากามคุณอยู่ แต่ตถาคตไม่ได้แสวงหา”
จากนั้น
พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท
สามพระคาถานี้ว่า
สุสุขํ
วต ชีวาม
เวริเนสุ
อเวริโน
เวริเนสุ
มนุสเสสุ
วิหราม
อเวริโน ฯ
สุสุขํ
วต ชีวาม
อาตุเรสุ
อนาตุรา
อาตุเรสุ
มนุสฺเสสุ
วิหราม
อนาตุรา ฯ
สุสุขํ
วต ชีวาม
อุสฺสุเกสุ
อนุสฺสุกา
อุสฺสุเกสุ
มนุสฺเสสุ
วิหราม
อนุสสฺสุกา ฯ
ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน
พวกเรา ไม่มีเวร เป็นอยู่สบายดีหนอ
ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีเวรกัน พวกเรา
ไม่มีเวรอยู่ .
ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความเดือดร้อนกัน
พวกเรา
ไม่มีความเดือดร้อน
เป็นอยู่สบายดีหนอ
ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความเดือดร้อนกัน
พวกเรา
ไม่มีความเดือดร้อนอยู่.
ในหมู่มนุษย์ผู้ขวนขวายกัน
พวกเรา
ไม่มีความขวนขวาย
เป็นอยู่สบายดีหนอ
ในมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความขวนขวาย
พวกเรา
ไม่มีความขวนขวายอยู่.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก
บรรลุอริยผลทั้งหลาย
มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น