04. เรื่องเด็กหญิงแห่งตระกูลคนใดคนหนึ่ง
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน
ทรงปรารภกุมาริกาคนใดคนหนึ่ง
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า นตฺถิ ราคสโม
อคฺคิ เป็นต้น
ในวันแต่งงานของกุมาริกา(หญิงสาว)กับกุมาร(ชายหนุ่ม)นั้น ข้างบิดามารดาของเจ้าสาวได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์ซึ่งมีพระศาสดาเป็นประมุข
มารับอาหารบิณฑบาตที่บ้าน
ฝ่ายเจ้าบ่าวเห็นเจ้าสาวเคลื่อนไหวไปมาทั่วบ้าน
โดยไปช่วยจัดแจงอาหารบิณฑบาตแด่พระสงฆ์เป็นต้น ฝ่ายเจ้าบ่าวมองดูแล้วก็เกิดอารมณ์ทางเพศ แทบจะไม่ใส่ใจคอยดูแลพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ ได้แต่จ้องมองไปที่เจ้าสาวอย่างไม่คลาดสายตา พระศาสดาทรงทราบถึงความรู้สึกของเจ้าบ่าว
และทรงทราบด้วยพระญาณพิเศษด้วยว่า
ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะได้บรรลุโสดาบัน
พระศาสดาจึงใช้พระฤทธานุภาพบันดาลมิให้เจ้าบ่าวแลเห็นเจ้าสาว เมื่อเจ้าบ่าวไม่เห็นเจ้าสาวเช่นนี้ ก็ได้หันมาสนใจในพระศาสดาอย่างเต็มที่ พระศาสดาได้ตรัสกับเขาว่า “กุมาร
ชื่อว่าไฟ เช่นกับไฟคือราคะ ไม่มี
ชื่อว่าโทษ เช่นกับโทษคือโทสะ ไม่มี
ชื่อว่าทุกข์
เช่นกับทุกข์เพราะการบริหารขันธ์ 5 ไม่มี” จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
นตฺถิ
ราคสโม อคฺคิ
นตฺถิ
โทสสโม กลิ
นตฺถิ
ขนฺธสมา ทุกฺขา
นตฺถิ
สนฺติปรํ สุขํ ฯ
ไฟเสมอด้วยราคะ ย่อมไม่มี
โทษเสมอด้วยโทสะ ย่อมไม่มี
ทุกข์ทั้งหลายเสมอด้วยขันธ์( 5 )ย่อมไม่มี.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง กุมาริกา และกุมาร บรรลุโสดาปัตติผล ในขณะนั้น
พระศาสดาทรงคลายฤทธานุภาพ
ให้ทั้งสองคนสามารถแลเห็นซึ่งกันและกัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น