08.เรื่องภิกษุมีภัณฑะมาก
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน
ทรงปรารภภิกษุผู้มีภัณฑะมาก
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า น นคฺคจริยา
เป็นต้น
ในสมัยหนึ่ง
ที่กรุงสาวัตถี
มีเศรษฐีอยู่ผู้หนึ่ง
หลังจากที่ภรรยาเสียชีวิตแล้ว
เศรษฐีนี้ได้ไปบวชเป็นภิกษุ
แต่ก่อนจะเข้ามาบวชเป็นภิกษุ
เศรษฐีได้ให้คนสร้างวัดและสร้างครัวและห้องเก็บสิ่งของไว้ในวัดด้วย เมื่อบวชแล้วพระเศรษฐีก็ได้ให้คนขนเฟอร์นิเจอร์ เครื่องครัว
ข้าวเปลือก น้ำมัน เนยแข็ง
และสิ่งอื่นๆอีกมากมาย มาไว้ที่วัด
แม้แต่เวลาจะฉันอาหารพระเศรษฐีก็มีคนใช้ตระเตรียมให้ฉัน สรุปว่า
ถึงแม้ว่าจะเข้ามาบวชเป็นพระแล้วพระเศรษฐีก็ยังดำเนินชีวิตฟุ่มเพือยแบบเดียวกับเมื่อตอนที่ยังครองเรือนอยู่ และเพราะมีสิ่งของติดตัวมาบวชมากมายพระเศรษฐีจึงมีชื่อเรียกว่า พหุภัณฑิกะ(ภิกษุมีภันฑะมาก)
อยู่มาวันหนึ่ง
พวกภิกษุอื่นได้นำตัวพระเศรษฐีไปเฝ้าพระศาสดา
และได้กราบทูลเรื่องที่พระเศรษฐีมีสิ่งของมากมายติดมาอยู่ในวัด
และมิหนำซ้ำก็ยังใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยในแบบของผู้ครองเรือนเสียอีกด้วย พระศาสดาได้ตรัสกับพระเศรษฐีว่า “ภิกษุ
เราแสดงธรรมเพื่อความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย
เพราะเหตุใดเธอจึงเป็นผู้มีสิ่งของมากอย่างนี้เล่า”
พระเศรษฐีโกรธที่ถูกพระศาสดาตำหนิ ได้กราบทูลด้วยความว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะดำเนินชีวิตตามพระประสงค์
ว่าแล้วก็เปลื้องจีวรออกจากกายมีเฉพาะผ้าสบงติดตัวอยู่ผืนเดียว แล้วไปยืนอยู่ในท่ามกลางบริษัท 4 พระศาสดาเมื่อทรงเห็นเช่นนั้น ก็ตรัสว่า “ภิกษุ
ในกาลก่อน
เธอแสวงหาหิริและโอตตัปปะ
แม้ในกาลเป็นรากษสน้ำ
ก็แสวงหาหิริโอตตัปปะอยู่ถึง 12 ปี มิใช่หรือ? บัดนี้ เธอบวชในพุทธศาสนา ที่เคารพอย่างนี้ แล้วเปลื้องผ้าห่มละหิริและโอตตัปปะ ยืนอยู่ในท่ามกลางบริษัท 4 เพราะเหตุใด?”
พระเศรษฐีได้ยินดำรัสของพระศาสดาเช่นนั้น ก็กลับได้สติ
รีบห่มจีวร
ถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง พระภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลให้พระศาสดาเล่าเรื่องบุรพชาติของพระเศรษฐี
พระศาสดาจึงตรัสเล่าเรื่องในอดีตชาติในรูปของชาดกเรื่องหนึ่ง และตรัสกับพระเศรษฐีว่า “ ภิกษุ ในกาลก่อน
เธอแสวงหาเทวธรรม
ถึงพร้อมด้วยหิริและโอตตัปปะเที่ยวไปอย่างนั้น บัดนี้ เธอยืนอยู่ในทำนองนี้
ในท่ามกลางแห่งบริษัท 4 กล่าวอยู่ต่อหน้าเราว่า
ฉันมีความปรารถนาน้อย
ชื่อว่าได้ทำกรรมอันไม่สมควรแล้ว
เพราะว่า
บุคคลจะชื่อว่าเป็นสมณะ
ด้วยเหตุสักว่าห้ามผ้าสาฎกเป็นต้นก็หามิได้”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
น
นคฺคจริยา น ชฏา
น ปงฺกา
นานาสกา
ตณฺฑิลสายิกา วา
รโชชลฺลํ
อุกฺกุฏิกปฺปธานํ
โสเธนฺติ
มจฺจํ อวิติณฺณกงฺขํ ฯ
การประพฤติเป็นคนเปลือย
ก็ทำสัตว์ให้บริสุทธิ์ไม่ได้
การเกล้าชฎาก็ไม่ได้
การนอนเหนือเปือกตมก็ไม่ได้
การไม่กินข้าวก็ไม่ได้
การนอนบนแผ่นดินก็ดี
ความเป็นผู้มีกายหมักหมมด้วยธุลีก็ดี
ความเพียรด้วยการนั่งกระหย่งก็ดี
แต่ละอย่าง
หาทำสัตว์ผู้ยังไม่ล่วงสงสัยให้บริสุทธิ์ได้ไม่.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นมาก
บรรลุโสดาปัตติผลทั้งหลาย
มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น