วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

พุทธวรรค:05.เรื่องภิกษุผู้ไม่ยินดี



05. เรื่องภิกษุผู้ไม่ยินดี

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภภิกษุผู้ไม่ยินดี(ในพรหมจรรย์)  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า    กหาปณวสฺเสน  เป็นต้น

ในสมัยหนึ่ง   มีภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งอยู่ที่วัดพระเชตวัน   วันหนึ่ง พระอุปัชฌาย์ส่งให้ท่านไปศึกษาเล่าเรียนที่วัดอีกแห่งหนึ่ง   ขณะที่ภิกษุรูปนี้ไปอยู่ที่วัดแห่งใหม่นั้น  โยมบิดาของท่านเกิดป่วยหนักและได้เสียชีวิตในที่สุด  ก่อนเสียชีวิตบิดาของภิกษุนี้ได้มอบทรัพย์เป็นจำนวนเงิน 100 กหาปณะไว้กับโยมลุงของพระภิกษุนี้ไว้  เมื่อภิกษุรูปนี้ไปพบโยมลุงก็บอกว่าโยมพ่อของภิกษุได้เสียชีวิตไปแล้วและได้ฝากเงินไว้ให้เป็นจำนวน 100 กหาปณะ  ในตอนแรกพระภิกษุนี้พูดว่าท่านไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินนี้  แต่ต่อมาท่านมีความเบื่อหน่ายในเพศบรรพชิต  คิดอยากจะสึกออกไปเป็นฆราวาส  ไม่ยอมศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน  ร่างกายผ่ายผอม  พวกภิกษุหนุ่มและสามเณรน้อยเห็นผิดปกติ  จึงเข้าไปสอบถาม  เมื่อได้ความว่าอยากจะสึก  จึงนำความนั้นไปเรียนอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ของพระภิกษุนั้น  อาจารย์และอุปัชฌาย์ จึงนำพระภิกษุนั้นไปเข้าเฝ้าพระศาสดา

พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่าเป็นความจริงหรือไม่ที่ไม่ต้องการจะบวชเป็นภิกษุอยู่ต่อไป  และมีเงินทุนสำหรับเริ่มชีวิตการเป็นฆราวาสแล้วหรือยัง   พระภิกษุนั้นกราบทูลว่าต้องการจะสึกจริงและมีเงินทุนสำหรับเริ่มชีวิตของฆราวาสจำนวน 100  กหาปณะแล้ว  พระศาสดาได้ทรงอธิบายให้ภิกษุนั้นฟังว่า  ในการดำเนินชีวิตเป็นฆราวาสนั้น จะต้องมีอาหาร มีโคสำหรับใช้สอย  มีพืช  มีแอกและไถ  มีจอบเสียม  มีมีดขวาน  เป็นต้น  พระศาสดาลองให้พระภิกษุนั้นคำนวณดูว่าเงินทุนที่มีอยู่จำนวน 100 กหาปณะนั้นพอที่จะนำไปซื้อสิ่งของต่างๆดังกล่าวหรือไม่  และเมื่อภิกษุนั้นคำนวณแล้วปรากฏว่าเงินที่มีอยู่ไม่เพียงพอ  พระศาสดาจึงตรัสว่า ภิกษุ  กหาปณะของเธอมีน้อยนัก  เธออาศัยกหาปณะเหล่านั้น  จักให้ความทะยานอยากเต็มขึ้นได้อย่างไร?”  และพระองค์ได้นำเรื่องของพระเจ้ามันธาตุราชในมันธาตุราชชาดกมาเล่าว่า    ได้ยินว่า  ในอดีตกาล  บัณฑิตทั้งหลาย  ครองจักรพรรดิราชสมบัติ  สามารถจะยังฝนคือรัตนะ 7  ประการให้ตกลงมาเพียงสะเอวในที่ประมาณ 12 โยชน์ ด้วยการกระทำเพียงปรบมือ  แม้ครองราชสมบัติในเทวโลก  ตลอดกาลที่ท้าวสักกะ 36 พระองค์จุติไป  ในเวลาตาย ก็ยังความอยากให้เต็มไม่ได้เลย  ได้ทำกาละแล้ว

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  สองพระคาถานี้ว่า

  กหาปณวสฺเสน
ติตฺติ  กาเมสุ  วิชฺชติ
อปฺปสฺสาทา  ทุกฺขา  กามา
อิติ  วิญญาย  ปณฺฑิโต.

อปิ  ทิพเพสุ  กาเมสุ
รตึ  โส  นาธิคจฺฉติ
ตญฺหกฺขยรโต  โหติ
สมฺมาสมฺพุทฺธสาวโก ฯ

ความอิ่มในกามทั้งหลาย
ย่อมไม่มีเพราะฝนคือกหาปณะ
กามทั้งหลายมีรสอร่อย  มีทุกข์มาก
บัณฑิตรู้แจ้งดังนี้แล้ว  ย่อมไม่ถึงความยินดี
ในกามทั้งหลายแม้ที่เป็นทิพย์
พระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธจ้า
ย่อมเป็นผู้ยินดีในความสิ้นไปแห่งตัณหา.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ภิกษุนั้น  บรรลุโสดาปัตติผล  พระธรรมเทศนามีประโยชน์แก่บริษัทที่มาประชุมกันแล้ว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น