วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ทัณฑวรรค:06.เรื่องอชครเปรต



06.เรื่องอชครเปรต

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน  ทรงปรารภอชครเปรต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า   อถ   ปาปานิ   กมฺมานิ  เป็นต้น

สมัยหนึ่ง  พระมหาโมคคัลลานะเถระกับพระลักขณเถระลงจากเขาคิชฌกูฏ  ได้เห็นสัตว์ชื่ออชครเปรต(เปรตงูเหลือม)  ร่างกายใหญ่ยาวประมาณ 25 โยชน์ ด้วยจักษุทิพย์   มีเปลวไฟลุกไหม้ทั้งสามด้าน  คือตั้งแต่ศีรษะลามจนถึงหาง   ตั้งแต่หางลามไปถึงศีรษะ  และตั้งแต่ข้างลำตัวลามไปที่กลางตัว   พระมหาโมคคัลลานะเมื่อเห็นแล้วก็ยิ้มออกมา 

เมื่อถูกพระลักขณเถระถามถึงสาเหตุของการยิ้มนั้น  ก็ได้ตอบว่า  ผู้มีอายุ  ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะตอบคำถาม  ท่านค่อยถามผมเมื่อตอนที่เราไปในสำนักของพระศาสดาเถิด  จากนั้นได้เข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์   เมื่อพระเถระทั้งสองไปเฝ้าพระศาสดาและพระมหาโมคคัลลานเถระถูกพระลักขณเถระถามอีกครั้งหนึ่ง  จึงตอบว่า  ผู้มีอายุ  ผมเห็นเปรตตนหนึ่ง ณ  ที่ตรงนั้น  ร่างกายของมันยาวใหญ่มาก  ผมเห็นมันก็จึงยิ้มออกมา  เพราะเห็นว่า  เปรตอะไรช่างตัวยาวใหญ่เสียเหลือเกิน   ไม่เคยพบเห็น ณ ที่ไหนมาก่อน   

พระศาสดาตรัสว่า  ภิกษุทั้งหลาย  เปรตนั้น  แม้เราก็ได้เห็นเหมือนกันที่ควงต้นโพธิพฤกษ์  แต่เราไม่พูด  เพราะเห็นว่า  พูดไปคนก็จะไม่เชื่อ  เมื่อคนไม่เชื่อก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไร  บัดนี้เราได้โมคคัลลานะมาเป็นพยานแล้ว  จึงได้พูดเมื่อภิกษุทั้งหลายทูตถามถึงบุรพกรรมของเปรตนั้น  พระศาสดาได้ตรัสเล่าว่า  ในสมัยแห่งพระพุทธจ้าพระนามว่ากัสสปะ  เปรตนี้เป็นโจรใจดำอำมหิต  ได้จุดไฟเผาบ้านของเศรษฐีผู้หนึ่งถึง 7 ครั้ง   เท่านั้นยังไม่พอ  โจรคนนี้ก็ยังจุดไฟเผาพระคันธกุฎีของพระกัสสปพุทธเจ้าที่เศรษฐีนั้นสร้างถวายขณะที่พระกัสสปพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน  เพราะผลแห่งกรรมชั่วนั้น ทำให้โจรได้รับความทุกข์ในอเวจีนรกอยู่เป็นเวลานาน  ในกาลบัดนี้ ได้มาเกิดเป็นอชครเปรต  ถูกไฟไหม้อยู่ที่เขาคิชฌกูฏ ด้วยวิบากแห่งกรรมที่ยังเหลือ   

พระศาสดาครั้นตรัสถึงบุรพกรรมของเปรตนั้นแล้ว  จึงตรัสว่า  ภิกษุทั้งหลาย  ธรรมดาคนพาล  ทำกรรมชั่วอยู่ย่อมไม่รู้  แต่ภายหลังเร่าร้อนอยู่เพราะกรรมอันตนทำแล้ว  ย่อมเป็นเช่นกับไฟไหม้ป่า  ด้วยตนของตนเอง  จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

อถ  ปาปานิ  กมฺมานิ
กรํ  พาโล    พุชฺฌติ
เสหิ  กมฺเมหิ  ทุมฺเมโธ
อคฺคิทฑฺโฒว  ตปฺปติ 
อันคนพาล  ทำกรรมทั้งหลายอันลามกอยู่  ย่อมไม่รู้สึก 
บุคคลมีปัญญาทราม   ย่อมเดือดร้อน   ดุจถูกไฟไหม้
เพราะกรรมของตนเอง.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นมาก  บรรลุโสดาปัตติผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น