วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ปิยวรรค:09.เรื่องนายนันทิยะ



09.เรื่องนายนันทิยะ

พระศาสดา   เมื่อประทับอยู่ในป่าอิสิปตนะ  ทรงปรารภนายนันทิยะ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  จิรปฺปวาสึ  เป็นต้น

นายนันทิยะ  เป็นบุตรเศรษฐี  อยู่ที่กรุงพารณสี   หลังจากที่เขาได้ฟังธรรมของพระศาสดา  ว่าด้วยอานิสงส์ของการสร้างวัดวาอารามถวายภิกษุสงฆ์แล้ว  นายนันทิยะก็ได้ก่อสร้างวัดใหญ่แห่งหนึ่งที่ป่าอิสิปตนะ  และได้สร้างสิ่งก่อสร้างในวัด  เป็นศาลาจัตุรมุขหลังหนึ่ง  ประกอบด้วยห้องสี่ห้อง  และอุปกรณ์ใช้สอยของพระสงฆ์มีเตียงและตั้งเป็นต้น ก่อนจะมอบถวายวัดใหญ่แห่งนี้  ก็ได้ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์  มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  แล้วหลั่งน้ำทักขิโณทกแด่พระศาสดา  ทันทีที่ได้ถวายอาวาสแห่งนี้แด่พระศาสดา  พระคัมภีร์บอกว่า ก็มีปราสาททิพย์  สำเร็จด้วยรัตนะ  7 ประการ  พรั่งพร้อมด้วยนางอัปสร  มีเส้นผ่าศูนย์กลาง  12 โยชน์  สูง 100 โยชน์  ผุดขึ้นในเทวโลกชั้นดาวดึงส์  พร้อมกับที่ได้หลั่งน้ำทักขิโณทกถวายแด่พระศาสดา

วันหนึ่ง  พระมหาโมคคัลลานะ  ได้ขึ้นไปที่เทวโลกชั้นดาวดึงส์  และได้เห็นปราสาททิพย์หลังนี้  เต็มไปด้วยหมู่นางเทพอัปสร  ก็ได้เข้าไปสอบถามเทพบุตรทั้งหลายว่า  เป็นปราสาททิพย์ของผู้ใด  ก็ได้รับคำตอบจากเทพบุตรเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญ  วิมานนั่น  เกิดรอรับบุตรคฤหบดี ชื่อนันทิยะ  ผู้ให้สร้างวิหารถวายพระศาสดา  ในป่าอิสิปตนะ  ฝ่ายหมู่นางอัปสร  เห็นพระเถระนั้นแล้ว  ก็ลงจากปราสาทมากล่าวว่า   พวกนางเกิดในปราสาทนี้เพื่อเป็นนางบำเรอของนายนันทิยะ  แต่ไม่เห็นนายนันทิยะมาเสียที  ได้แต่รอแล้วรอเล่า   ขอฝากบอกพระคุณเจ้าไปถึงนายนันทิยะด้วยว่า  มนุษยสมบัติเปรียบเหมือนถาดดิน  ส่วนทิพยสมบัตินั้นเปรียบเหมือนถาดทองคำ 

เมื่อพระมหาโมคคัลลานะ  ลงจากเทวโลกแล้ว  ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา  ทูลถามว่า  พระเจ้าข้า  ทิพยสมบัติเกิดรอบุคคลผู้ทำความดีที่ยังอยู่ในโลกมนุษย์มีหรือไม่  พระศาสดาตรัสว่า  เธอไปเห็นปราสาททิพย์ที่ผุดรอนายนันทิยะที่ยังอยู่ในโลกมนุษย์มาแล้วมิใช่หรือ  จะมาถามทำไม?”    เมื่อพระเถระทูลว่า พระเจ้าข้าพระศาสดาตรัสว่า  สภาพก็เหมือนกับคนเราในโลกมนุษย์   ยืนอยู่ที่ประตูบ้านเรือน  เห็นบุตรหรือพีน้อง ที่เดินทางไปอยู่ต่างประเทศมานาน แล้วกลับมาถึงบ้านเรือนของตน  ก็มีความยินดีปรีดา  ร้องทักทาย ต้อนรับบุคคลผู้นั้น  ข้อนี้ก็เหมือนกับเหล่าเทวดา  ต่างถือเครื่องบรรณการอันเป็นทิพย์ 10 อย่าง  แย่งชิงกันออกมาต้อนรับ  แสดงความยินดีกับสตรีหรือบุรุษ  ผู้ทำความดีไว้ในโลกมนุษย์  แล้วตายไปเกิดในปรโลก  ฉันใดก็ฉันนั้น

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  สองพระคาถานี้ว่า

จิรปฺปวาสึ  ปุริสํ
ทูรโต  โสตฺถิมาคตํ
ญาตี  มิตฺตา  สุหชฺชา 
อภินนฺทติ  อาคตํ 

ตเถว  กตปุญฺญํปิ 
อสฺมา  โลกา  ปรํ  คตํ
ปุญญานิ  ปฏิคฺคณฺหนฺติ 
ปิยํ  ญาตีว  อาคตํ ฯ

ญาติ  มิตร และคนมีใจดีทั้งหลาย
เห็นบุรุษผู้ไปอยู่ต่างถิ่นมานาน
มาแล้วแต่ที่ไกลโดยสวัสดี
ย่อมยินดียิ่งว่า  มาแล้ว  ฉันใด

บุญทั้งหลาย  ก็ย่อมต้อนรับ
แม้บุคคลผู้กระทำบุญไว้
ซึ่งไปจากโลกนี้สู่โลกหน้า
ดุจพวกญาติเห็นญาติที่รักมาแล้ว
ต้อนรับอยู่ ฉะนี้แล.
 
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น