วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

พุทธวรรค:06.เรื่องปุโรหิตชื่ออัคคิทัตต์



06. เรื่องปุโรหิตชื่ออัคคิทัตต์

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ประทับนั่งบนกองทราย  ทรงปรารภปุโรหิตของพระเจ้าโกศล ชื่ออัคคิทัตต์  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  พหุ   เว  สรณํ   ยนฺติ  เป็นต้น

ที่มาของการตรัสพระธรรมบท  ห้าพระคาถานี้มีว่า

อัคคิทัตเป็นปุโรหิตของเจ้ามหาโกศล   พระบิดาของพระเจ้าปเสทนิโกศล   หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้ามหาโกศล  ปุโรหิตอัคคิทัต ก็ได้นำทรัพย์สมบัติของตนออกบริจาคเป็นทาน  จากนั้นก็ได้ละทิ้งบ้านเรือนออกไปบวชเป็นนักบวชภายนอกพุทธศาสนา  ท่านอัคคิทัตมีศิษย์ที่บวชตามและอยู่ด้วยกันกับท่านจำนวน 10000 ท่านและศิษย์ได้ไปพำนักอยู่ด้วยกันที่พรมแดนระหว่าง แคว้นอังคะ  แคว้นมคธ  และแคว้นกุรุ  ซึงเป็นสถานที่ซึ่งไม่ไกลจากเนินทรายใหญ่อันเป็นที่อยู่ของพระยานาค ชื่อ อหิฉัตต์   มีชาวบ้านจากแคว้นอังคะ  แคว้นมคธ และแคว้นกุรุนำเครื่องสักการะมากหลายไปถวายแก่พวงนักบวชโดยการนำของท่านอัคคิทัตต์ ทุกๆเดือน   ท่านอัคคิทัตต์ได้ให้โอวาทแก่คนเหล่านั้นว่า พวกท่านจงถึงภูเขาเป็นสรณะ  จงถึงป่าเป็นสรณะ  จงถึงสวนเป็นสรณะ  จงถึงต้นไม้เป็นสรณะ   พวกท่านจักพ้นจากทุกข์ทั้งสิ้นได้ด้วยอาการอย่างนี้

ในเวลาจวนรุ่งของวันหนึ่ง  พระศาสดา  ทรงตรวจดูสัตวโลก  ทรงเห็นอัคคิทัตพราหมณ์พร้อมด้วยศิษย์  เข้ามาอยู่ในข่ายคือพระญาณของพระองค์แล้ว  ทรงทราบว่าทุกคนจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์  ในตอนเย็น  ได้ตรัสกับพระมหาโมคคัลลานเถระให้เดินทางไปอบรมสั่งสอนอัคคิทัตและศิษย์ในแนวทางที่ถูกต้อง  และพระองค์ก็จะเสด็จไปสมทบในภายหลังด้วย  พระมหาโมคคัลลานะได้เดินทางไปยังสถานที่อยู่ของอัคคิทัตพราหมณ์และศิษย์และได้ขอพักอาศัยค้างแรมด้วยสักคืน   อัคคิทัตพราหมณ์ในตอนแรกปฏิเสธที่จะให้ที่พัก  แต่ในที่สุดได้ยอมให้ไปพักที่กองทรายใหญ่อันเป็นที่อยู่ของนาคราชซึ่งมีฤทธิ์เดชมาก  พอนาคราชเห็นพระเถระเดินมาก็ได้แสดงฤทธิ์ด้วยการบังหวนควัน  จึงได้เกิดการปะกันด้วยฤทธิ์ของการบังหวนควันระหว่างนาคราชกับพระเถระ  แต่ในที่สุดนาคราชเป็นฝ่ายถูกปราบจนพ่ายแพ้  พระเถระสามารถนั่งอยู่บนกองทรายใหญ่  โดยมีนาคราชแสดงความเคารพพระเถระด้วยการแผ่พังพานขนาดใหญ่เป็นร่มกั้นอยู่เหนือศีรษะพระเถระ  เมื่อถึงช่วงเช้าในวันรุ่งขึ้น  อัคคิทัตและศิษย์มาที่กองทรายใหญ่  เพื่อจะมาพิสูจน์ว่าพระเถระยังมีชีวิตอยู่หรือไม่  ซึ่งพวกเขาคาดการณ์ไว้ว่าพระเถระต้องเสียชีวิตไปแล้วอย่างแน่นอน  แต่พอพวกเขามาพบว่านาคราชถูกปราบและแผ่พังพานถวายความเคารพพระเถระเช่นนี้  ก็เกิดความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก  เพราะคิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัตรไปได้เช่นนี้ 

ชั่วครู่ต่อมา  พระศาสดาก็ได้เสด็จมาสมทบ  พระเถระได้เข้าไปถวายบังคมพระศาสดา  และได้ประกาศให้อัคคิทัตและศิษย์ได้ทราบว่า  พระองค์คือพระศาสดา  พระเถระเป็นสาวก  พระศาสดาประทับนั่งบนยอดของกองทราบ  ตรัสเรียกอัคคิทัตมาแล้ว  ตรัสว่า  อัคคิทัต  ท่านเมื่อให้โอวาทแก่สาวกและอุปัฏฐากทั้งหลายของท่าน  ย่อมกล่าวว่าอย่างไร  อัคคิทัตกราบทูลว่า  ข้าพเจ้าให้โอวาทแก่สาวกและอุปัฏฐากเหล่านั้นอย่างนี้ว่า  ท่านทั้งหลาย  จงถึงภูเขานั่นเป็นที่พึ่ง  จงถึงป่า  จงถึงสวน  จงถึงต้นไม้  ว่าเป็นที่พึ่ง  ด้วยว่า  บุคคลถึงวัตถุทั้งหลาย  มีภูเขาเป็นต้นนั้นว่าเป็นที่พึ่งแล้ว   ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้  พระศาสดา ตรัสว่า  อัคคิทัต  บุคคลถึงวัตถุทั้งหลายมีภูเขาเป็นต้นนั้นว่าเป็นที่พึ่งแล้ว  ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ได้เลย  ส่วนบุคคลถึงพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ว่าเป็นที่พึ่ง  ย่อมพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะสงสารทั้งสิ้นได้

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  ห้าพระคาถานี้ว่า

พหุ  เว  สรณํ  ยนฺติ
ปพฺพตานิ  วนานิ  จะ
อารามรุกฺขเจตฺยานิ
มนุสสา  ภยตชฺชิตา 
  
เนตํ โข  สรณํ  เขมํ
เนตํ  สรณมุตฺตมํ
เนตํ  สรณมาคมฺม
สพฺพทุกฺขา  ปมุจฺจติ ฯ

โย    พุทฺธญฺจ  ธมฺมญฺจ
สงฺฆญฺจ  สรณํ  คโต
จตฺตาริ  อริยสจฺจานิ
สมฺมปฺปญฺญาย  ปสฺสติ 

ทุกฺขํ    ทุกขสมุปฺปาทํ
ทุกฺขสฺส    อติกฺกมํ
อริยญจฏฺฐงฺคิกํ  มคฺคํ
ทุกฺขูปสมคามินํ 

เอตํ  โข  สรณํ  เขมํ
เอตํ  สรณมุตฺตมํ
เอตํ  สรณมาคมฺม
สพฺพทุกฺขา  ปมุจฺจติ 

มนุษย์เป็นอันมาก
ถูกภัยคุกคามแล้ว
ย่อมถึงภูเขา ป่า  อาราม
และรุกขเจดีย์ว่าเป็นที่พึ่ง

สรณะนั่นแลไม่เกษม
สรณะนั่นไม่อุดม
เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่น
ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.

ส่วนบุคคลใดถึงพระพุทธ
พระธรรมและพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
 ย่อมเห็นอริยสัจ 4 คือ ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์
ความก้าวล่วงทุกข์.

และมรรคมีองค์ 8 อันประเสริฐ
ซึ่งยังสัตว์ให้ถึงความสงบแห่งทุกข์  ด้วยปัญญาชอบ
สรณะนั่นแลของบุคคลนั้นเกษม  สรณะนั่นอุดม
เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่น  ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ฤษีทั้งหมด  บรรลุพระอรหัตตผล  พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว  ถวายบังคมพระศาสดา  ทูลขอบรรพชา   พระศาสดาทรงประทานให้เป็นภิกษุด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา  ว่า  ท่านทั้งหลาย  จงเป็นภิกษุมาเถิด  จงประพฤติพรหมจรรย์  (ไม่มีคำว่า  เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โยชอบ  เพราะทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ก่อนบวช)

ในวันนั้นเมื่อสาวกของอัคคิทัตจากแคว้นอังคะ  แคว้นมคธ  และแคว้นกุรุ   ถือเครื่องสักการมาไหว้อัคคิทัต  ได้เห็นอัคคิทัตและบรรดาสาวกนุ่งห่มผ้าบวชเป็นภิกษุ  ก็เกิดความอัศจรรย์ใจสงสัยว่า  ใครมีอานุภาพมากกว่ากัน  อาจารย์ของเรา หรือว่าพระสมณะโคดม  ?  อาจารย์ของเราต้องมีอานุภาพเหนือกว่า  เพราะว่าพระสมณะโคดมเป็นฝ่ายมาสู่สำนักของอาจารย์ของเรา   พระศาสดาทรงทราบความคิดของคนเหล่านั้น  และอัคคิทัตเองก็คิดว่าจะต้องทำให้คนเหล่านั้นสิ้นความสงสัย  จึงได้เข้าไปถวายบังคมพระศาสดา  และประกาศว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  พระผู้มีพระภาค  เป็นศาสดาของข้าพระองค์  ข้าพระองค์เป็นสาวก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น