วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

โลกวรรค:11.เรื่องนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี



11.เรื่องนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  ปฐพฺยา  เอกราเชน  เป็นต้น

นายกาละ บุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  จะปลีกตัวออกห่าง  เมื่อพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จมาที่บ้าน  ท่านเศรษฐี มีความหวั่นเกรงว่า  หากบุตรชายยังประพฤติตัวอย่างนี้   ก็จะไม่แคล้วไปตกนรก   จึงต้องการแก้ไขพฤติกรรมของบุตรชาย  ด้วยการใช้กโลบายใช้เงินเป็นตัวล่อ   โดยท่านเศรษฐีได้บอกกับบุตรว่า  จะให้เงิน 100 กหาปณะ หากบุตรรักษาอุโบสถ และไปวัดฟังธรรม  นายกาละผู้บุตรก็ได้รับอุโบสถ แล้วนอนค้างที่วัดและกลับมาในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นโดยที่ไม่ได้ฟังธรรม  เมื่อบุตรกลับมาจากวัด  ท่านเศรษฐีพูดขึ้นว่า   บุตรของเราได้เป็นผู้รักษาอุโบสถ  ท่านทั้งหลายจงนำข้าวต้มเป็นต้นมาให้เขาเร็ว  แต่บุตรบอกเศรษฐีผู้บิดาว่าจะรับประทานอาหารก็ต่อเมื่อได้เงิน 100 กหาปณะก่อนเท่านั้น  เศรษฐีก็ได้ให้เงินจำนวนนั้นแก่บุตร   และบุตรก็จึงยอมรับประทานอาหาร

ในวันรุ่งขึ้น  บิดาก็ได้กล่าวกับบุตรอีกว่า  พ่อคุณ  เราจักให้กหาปณะพันหนึ่งแก่เจ้า  เจ้าจงยืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา  เรียนเอาบทแห่งธรรมให้ได้บทหนึ่งแล้วพึงมา  นายกาละผู้บุตรก็ได้ไปที่วัดอีกครั้งหนึ่ง  และได้ตั้งใจว่าจะเรียนธมให้ได้สักบทหนึ่งก็จะรีบกลับบ้าน  พระศาสดาได้ทรงบันดาลให้นายกาละจำบทธรรมอะไรไม่ได้สักบท  แม้จะพยายามอย่างไรก็จำไม่ได้  แต่พอนายกาละยืนฟังนานๆเข้าด้วยจิตใจจดจ่อก็จึงได้บรรลุโสดาบัน

ในวันรุ่งขึ้น  นายกาละนั้นเข้าไปสู่กรุงสาวัตถี  พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์  มีพระศาสดาเป็นประมุข  ท่านเศรษฐีพอเห็นบุตรเดินมาก็นึกชอบใจ  แต่ทว่าในวันนี้  พฤติกรรมของนายกาละ  ไม่เหมือนวันวาน  วันนี้เขากลับตั้งจิตอธิษฐานขออย่าให้บิดานำเงินมาให้ตนต่อเบื้องพระพักตร์ของพระศาสดา  และขอให้ช่วยปกปิดเรื่องที่เตนไปรักษาอุโบสถเพื่อแลกกับเงินหนึ่งพันกหาปณะ 

เศรษฐีได้ถวายภัตตาหารแด่พระศาสดาและภิกษุสงฆ์  และสั่งให้คนยกอาหารมาให้บุตรด้วย   นายกาละก็ได้นั่งรับประทานอาหารด้วยอาการนิ่งสงบ  ในเวลาเสร็จภัตกิจของพระศาสดา  เศรษฐีให้คนวางห่อปหาปณะพันหนึ่งไว้ตรงหน้าบุตรแล้ว พูดว่า  พ่อคุณ  นี่ไงเงินจำนวนหนึ่งพันกหาปณะที่พ่อรับปากว่าจะให้ลูกหากลูกไปสมาทานอุโบสถและฟังธรรมในวัด    นายกาละเห็นบิดาให้คนนำถุงเงินมาให้ตนต่อเบื้องพระพักตร์ของพระศาสดา ก็นึกละอายแก่ใจ พูดว่า  ผมไม่รับ   แม้จะถูกคะยั้นคะยอให้รับอย่างไร  ก็บอกว่า  ไม่รับ ๆ

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี   ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว  กราบทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  วันนี้  ข้าพระองค์  ชอบใจอาการของบุตร  เมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า  เรื่องอะไรหรือ มหาเศรษฐี  จึงกราบทูลว่า  ในวันก่อน  บุตรของข้าพระองค์นี้  อันข้าพระองค์พูดว่า  เราจักให้กหาปณะแก่เจ้า  แล้วส่งไปวิหาร  ในวันรุ่งขึ้น  ยังไม่ได้รับกหาปณะแล้ว  ไม่ปรารถนาจะบริโภคอาหาร  แต่วันนี้  เขาไม่ปรารถนากหาปณะแม้ที่ข้าพระองค์ให้

พระศาสดาตรัสว่า  อย่างนั้น  มหาเศรษฐี  วันนี้  โสดาปัตติผลนั่นแล  ของบุตรของท่าน  ประเสริฐแม้กว่าสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ  แม้กว่าสมบัติในเทวโลก และพรหมโลก

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า 

ปฐพฺยา  เอกรชฺเชน
สคฺคสฺส  คมเนน วา
สพฺพโลกาธิปัจฺเจน
โสตาปตฺติผลํ  วรํ ฯ

โสดาปัตติผล
ประเสริฐกว่าความเป็นเอกราชในแผ่นดิน
กว่าการไปสู่สวรรค์
และกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น .

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น