09.เรื่องบุตรเศรษฐีมีทรัพย์มาก
พระศาสดา
เมื่อประทับนั่งที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
ทรงปรารภบุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ เป็นต้น
บุตรชายของเมหาธนศรษฐีในกรุงพาราณสี
ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนเมื่อตอนที่อยู่ในวัยเด็ก เมื่อตอนเติบโตเป็นหนุ่ม ได้แต่งงานกับบุตรสาวของเศรษฐี
ซึ่งก็เป็นหญิงที่ไม่ได้รับการศึกษาเช่นเดียวกับเขา
เมื่อบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตแล้ว ทั้งสองคนได้เป็นทายาทรับมรดกตกทอดจากตระกูลเศรษฐีของตนๆเป็นจำนวนมาก ทำให้ทรัพย์สินที่นำมารวมกันมีจำนวนมากมาย
แต่ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต่างเป็นคนไม่มีความรู้ด้านหนังสือ รู้อย่างเดียวคือรู้แต่วิธีการใช้แต่เงิน ไม่รู้วิธีจะเก็บรักษาเงิน หรือวิธีทำเงินให้งอกเงย ทั้งสองคนจึงเอาแต่กิน ดื่ม
และสนุกสนาน ล้างผลาญเงินทองที่มีอยู่ เมื่อเงินทองที่มีอยู่หมดสิ้นแล้ว ทั้งสองก็ได้ขายทรัพย์สินต่างๆ เช่น เรือกสวนไร่นา
ตลอดจนบ้านเรือน
และในที่สุดทั้งสองคนก็กลายเป็นคนยากจนอนาถา
และเพราะเหตุที่ทั้งสองคนไม่รู้วิธีที่จะทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างหนึ่งอย่างใด จึงได้ยึดอาชีพเป็นขอทาน อยู่มาวันหนึ่ง
พระศาสดาได้ทอดพระเนตรเห็นบุตรชายของเศรษฐียืนอยู่ที่ประตูโรงฉัน คอยรับเศษอาหารที่ภิกษุหนุ่มและสามเณรน้อยให้ จึงทรงแย้มพระโอษฐ์
พระอานนท์ได้กราบทูลถามถึงสาเหตุของการที่ทรงแย้มพระโอษฐ์นั้น พระศาสดาตรัสว่า “ อานนท์ เธอจงดูบุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มากผู้นี้ ผลาญทรัพย์เสีย 160 โกฏิ
พาภรรยาเที่ยวขอทานอยู่ในพระนครนี้แล
ก็ถ้าบุตรเศรษฐีนี้
ไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดสิ้น
จักประกอบการงานในปฐมวัย
ก็จักได้เป็นเศรษฐีชั้นเลิศในนครนี้แล
แลถ้าจักออกบวช
ก็จักบรรลุอรหัต แม้ภรรยาของเขา ก็จักดำรงอยู่ในอนาคามิผล ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดไป จักประกอบการงานในมัชฌิมวัย จักได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ 2 ออกบวช
จักเป็นอนาคามี
แม้ภรรยาของเขา
ก็จักดำรงอยู่ในสกทาคามิผล
ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้สิ้นไป
ประกอบการงานในปัจฉิมวัย
จักได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ 3 แม้ออกบวช
ก็จักได้เป็นสกทาคามี
แม้ภรรยาของเขา
ก็จักดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
แต่เดี๋ยวนี้ บุตรเศรษฐีนั่น ทั้งเสื่อมจากโภคะของคฤหัสถ์ ทั้งเสื่อมแล้วจากสามัญผล ก็แลครั้นเสื่อมแล้ว จึงเป็นเหมือนนกกะเรียนในเปือกตมแห้งฉะนั้น”
จากนั้น
พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี้ว่า
อจริตฺวา
พฺรหฺมจริยํ
อลทฺธา
โยพฺพเน ธนํ
ชิณฺณโกญจาวฌายนฺติ
ขีณมจฺเฉว
ปลฺลเล ฯ
พวกคนเขลา
ไม่ประพฤติพรหมจรรย์
ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว
ย่อมซบเซาดังนกกะเรียนแก่
ซบเซาอยู่ในเปือกตมที่หมดปลา ฉะนั้น.
อจริตฺวา
พฺรหฺมจริยํ
อลทฺธา
โยพฺพเน ธนํ
เสนติ
จาลาติขีณาว
ปุราณานิ
อนุตฺถุนํ ฯ
พวกคนเขลา
ไม่ประพฤติพรหมจรรย์
ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว
ย่อมนอนทอดถอนถึงทรัพย์เก่า
เหมือนลูกศรที่ตกจากแล่ง ฉะนั้น.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก
บรรลุอริยผลทั้งหลาย
มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น