02.เรื่องนางสิริมา
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน
ทรงปรารภนางสิริมา
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ปสฺส จิตฺตกตํ
พิมฺพํ เป็นต้น
ในสมัยหนึ่ง
ที่กรุงราชคฤห์
มีนางนครโสเภณีนางหนึ่งนามว่าสิริมา
เป็นผู้มีรูปโฉมงดงามมาก วันหนึ่ง
นางสิริมาได้ฟังธรรมจากพระศาสดาแล้วสำเร็จเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่นั้นมานางจะจัดอาหารถวายพระสงฆ์ 8
รูปที่บ้านของนางทุกวันมิได้ขาด
พระภิกษุที่ไปรับอาหารบิณฑบาตกลับมาก็จะพากันสรรเสริญเยินยอในความสวยงามของนางและในความอร่อยของรสอาหารและปริมาณของอาหารที่นางจัดมาถวายด้วยตนเอง มีภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งได้ข่าวนี้แล้วก็เกิดหลงรักนางทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นนางด้วยตาของตนเอง
ในวันรุ่งขึ้นภิกษุหนุ่มรูปนี้ได้ไปรับบิณฑบาตที่บ้านของนางพร้อมกับภิกษุอื่นๆ วันนั้น
นางสิริมาไม่ค่อยสบายแต่นางต้องการไหว้พระภิกษุจึงได้ให้คนพยุงนางเดินมา ภิกษุหนุ่มเห็นนางก็คิดว่า นี่ขนาดนางป่วยอยู่นะ ยังสวยงามถึงขนาดนี้ หากเป็นปกติคงจะสวยงามมาก ก็เลยบังเกิดความรักอย่างแรงกล้าในนาง
ถึงกับไม่ยอมฉันอาหาร ปล่อยให้ข้าวในบาตรบูดเน่า
และในคืนนั้นเอง
นางสิริมาได้เสียชีวิต
พระเจ้าพิมพิสารได้ไปเข้ากราบทูลพระศาสดาว่า
นางสิริมาซึ่งเป็นน้องสาวของหมอชีวกโกมารภัจ ได้เสียชีวิต พระศาสดาตรัสกะพระเจ้าพิมพิสารว่า
ให้ทรงดำเนินการนำศพของนางสิริมาไปเก็บไว้ในป่าช้า ยังไม่ต้องนำไปฝัง เป็นเวลา
3
วัน ในช่วง 3
วันนี้ให้คอยระแวดระวังมิให้แร้งกาหรือสุนัขกินศพนาง
พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงปฏิบัติตามที่พระศาสดาทรงแนะนำ พอถึงวันที่ 4
ร่างของนางสิริมาผู้เลอโฉมก็มิได้สวยงามและเป็นที่ปรารถนาของใครๆ
เพราะมีสภาพเน่าเฟะและมีตัวหนอนไหลออกมายั้วเยี้ยจากทวารทั้ง 9 ในวันที่ 4 นี้เอง
พระศาสดาทรงพาพระภิกษุไปยังป่าช้าแห่งนั้น
เพื่อดูซากศพของนาง
พระเจ้าพิมพิสารก็ได้เสด็จไปพร้อมกับข้าราชบริพารทั้งหลายด้วย
ภิกษุหนุ่มที่หลงรักนางสิริมายังไม่ทราบว่านางมาเสียชีวิต
เมื่อได้ข่าวว่าพระศาสดาจะพาพระภิกษุทั้งหลายไปดูนาง ก็ได้ขอร่วมเดินทางไปด้วย ณ
ที่ป่าช้าแห่งนั้น
ซากศพของนางสิริมาจึงถูกแวดล้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์อันมีพระศาสดาเป็นประมุข รวมทั้งพระเจ้าพิมพิสารและข้าราชบริพาร
จากนั้น
พระศาสดาได้ตรัสกับพระเจ้าพิมพิสารให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเที่ยวป่าวประกาศโฆษณาว่า จะขายนางสิริมาในราคา 100 0
กหาปณะ
แต่ก็ไม่มีใครประสงค์จะซื้อนางสิริมาในราคา 1000 กหาปณะตามที่ประกาศ
แม้จะรับสั่งให้ป่าวประกาศลดราคาลงมาเป็น
500
กหาปณะ 250 กหาปณะ
200
กหาปณะ 100 กหาปณะ
50 กหาปณะ
25
กหาปณะ 10 กหาปณะ
5
กหาปณะ 1 กหาปณะ ครึ่งกหาปณะ 1 บาท 1
มาสก 1 กากนิก
ตามลำดับ
ก็ไม่มีใครประสงค์จะซื้อ
ในที่สุดแม้จะรับสั่งให้ตีกลองโฆษณาว่า “จงเอาไปเปล่าๆก็ได้”
ก็ไม่มีใครแสดงตัวต้องการจะซื้อ
เมื่อพระเจ้าพิมพิมพิสารกราบทูลเรื่องนี้แก่พระศาสนาแล้ว พระศาสดาจึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลาย จงดูมาตุคามซึ่งเป็นที่รักของมหาชน ในกาลก่อน
ชนทั้งหลายในพระนครนี้แล ให้ทรัพย์พันหนึ่งแล้ว ได้อภิรมย์วันหนึ่ง บัดนี้
แม้ผู้จะรับเอาเปล่าๆก็ไม่มี
รูปเห็นปานนี้
ถึงความสิ้นและความเลื่อมแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงดูอัตภาพอันอาดูร”
จากนั้น
พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท
พระคาถานี้ว่า
ปสฺส
จิตฺตกตํ พิมฺพํ
อรุกายํ
สมุสฺสิตํ
อาตุรํ
พหุสงฺกปฺปํ
ยสฺส
นตฺถิ ธุวํ ฐิติ ฯ
เธอจงดูอัตภาพ
ที่ไม่มีความยั่งยืน
และความมั่นคง อันกรรมทำให้วิจิตร
มีกายเป็นแผล
อันกระดูก 300
ท่อนยกขึ้นแล้ว
อันอาดูร ที่มหาชนครุ่นคิดแล้วโดยมาก.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง การตรัสรู้ธรรมได้มีแล้วแก่สัตว์ 8
หมื่น 4
พัน แม้ภิกษุรูปนั้น ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น