10.เรื่องอสทิสทาน
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน
ทรงปรารภอสทิสทาน
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า น เว
กทริยา เทวโลกํ วชนฺติ
เป็นต้น
ในสมัยหนึ่ง
พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงถวายมหาทานแด่พระศาสดาและภิกษุทั้งหลาย
พวกชาวเมืองซึ่งเป็นพสกนิกรของพระราชา
ต้องการแข่งขันการให้ทานกับราชา
จึงได้จัดพิธีให้ทานที่ยิ่งใหญ่กว่าทานของพระราชา
และทั้งสองฝ่ายได้แข่งขันถวายทานกันยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด พระนางมัลลิกาเทวี พระมเหสีของพระราชา
ได้ทรงคิดแผนการให้ทานที่ยิ่งใหญ่เพื่อให้ชนะทานของชาวเมือง และพระนางก็ได้ดำเนินแผนนั้น
โดยได้ทูลพระราชาให้ทรงสร้างมณฑปที่นั่งขนาดใหญ่สำหรับเป็นที่นั่งของภิกษุสงฆ์
500 รูป
กับให้ทรงสร้างเศวตฉัตร 500
คัน และตระเตรียมช้าง 500
เชือก คอยถือเศวตฉัตร 500
คันกั้นอยู่เบื้องบนศีรษะของภิกษุสงฆ์ 500 รูปนั้น
ที่ตรงกลางมณฑปขนาดใหญ่นั้น
ทรงให้สร้างเรือทองคำสีสุกใสไว้ 8-10 ลำ
เรือแต่ละลำบรรจุไว้ด้วยของหอมที่บดโดยบรรดาเจ้าหญิงทั้งหลาย และก็ยังเตรียมเจ้าหญิงจำนวน 250
องค์ไว้คอยนั่งพัดภิกษุสงฆ์องค์ละ 2 รูป
เมื่อการเตรียมการทั้งหลายสำเร็จเสร็จสิ้นตามแผนแล้ว ก็ได้มีการถวายมหาทาน
มหาทานครั้งนี้มีความยิ่งใหญ่หาทานอื่นใดเทียบมิได้ จึงเรียกชื่อว่า อสทิสทาน
ซึ่งตำราบอกว่า
อสทิสทานนี้มีแก่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
พระองค์ละครั้งเท่านั้น
และเป็นทานที่มีสตรีเป็นผู้จัดแจงเพื่อถวายพระศาสดาและพระภิกษุสงฆ์
ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลมีอำมาตย์ 2
คน คนหนึ่งชื่อกาฬะ อีกคนหนึ่งชื่อชุณหะ กาฬอำมาตย์ มีความเห็นว่า การทำทานอันยิ่งใหญ่ของพระราชา ทรงใช้งบประมาณถึง 14 โกฏิ
เป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
พระภิกษุสงฆ์ฉันแล้วก็ไม่ทำการงานอะไร
ฉันแล้วก็กลับวัดไปนอนหลับในกุฏิเท่านั้นเอง ส่วนชุณหอำมาตย์เห็นด้วยกับมหาทานที่พระราชาทรงจัดทำในครั้งนี้ และได้กล่าวอนุโมทนาทานนี้ ในที่สุดภัตกิจของพระศาสดา พระราชาทรงรับบาตรเพื่อให้พระศาสดาตรัสอนุโมทนา
พระศาสดาทรงทราบว่ากาฬอำมาตย์ไม่เห็นด้วยกับมหาทานครั้งนี้
และหากพระองค์ทรงกล่าวอนุโมทนกถาชมเชยมหาทานยืดยาวนักก็จะไปขัดใจกาฬอำมาตย์ และจะส่งผลให้กาฬอำมาตย์โกรธและไปตกนรกได้
พระศาสดาต้องการจะอนุเคราะห์แก่กาฬอำมาตย์จึงตรัสอนุโมทนกถาแต่เพียงสั้นๆ
จากนั้นได้เสด็จกลับพระเชตวัน
พระราชามีพระประสงค์จะให้พระศาสดาทรงกล่าวอนุโมทนกถายาวๆ
แต่เมื่อพระศาสดาทรงกล่าวอนุโมทนกถาสั้นๆเช่นนี้
ก็มีความสงสัยว่าได้ทรงดำเนินการขาดตกบกพร่องอะไรไปหรือไม่ จึงเสด็จไปทูลถามพระศาสดา พระศาสดาตรัสกับพระราชาว่า “ “มหาบพิตร พระองค์ถวายทานอันสมควรแล้วทีเดียว ก็ทานนั่น
ชื่ออสทิสทาน
ใครๆอาจเพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ครั้งเดียวเท่านั้น ธรรมดาทานเห็นปานนี้ เป็นของยากที่บุคคลจะถวายอีก”
แต่ที่พระองค์ทรงกล่าวอนุโมทนกถาสั้นๆนั้นเพราะ
“บริษัทไม่บริสุทธิ์”
และได้ตรัสบอกถึงความคิดคัดค้านทานของกาฬอำมาตย์
และความคิดเห็นด้วยกับทานของชุณหอำมาตย์ให้พระราชาทรงทราบ เมื่อพระราชาสืบสวนจนเป็นที่แน่ชัดแล้ว ก็รับสั่งให้เนรเทศกาฬอำมาตย์นั้นออกจากแว่นแคว้น
และพระราชทานราชทรัพย์ให้แก่ชุณหอำมาตย์เพื่อจัดถวายทานเป็นเวลา 7
วัน กับได้ทรงมอบราชสมบัติให้ชุณหอำมาตย์ครอบครองเป็นเวลา
7
วันด้วย
จากนั้นพระราชาได้กราบทูลพระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทอดพระเนตการทำของคนพาล เขาได้ให้ความลบหลู่ในทาน ที่หม่อมฉันถวายแล้ว”
พระศาสดาตรัสว่า “อย่างนั้น
มหาบพิตร ขึ้นชื่อว่าพวกคนพาล ไม่ยินดีทานของผู้อื่น เป็นผู้มีทุคติเป็นที่ไป ณ เบื้องหน้า ส่วนนักปราชญ์อนุโมทนาทานแม้ของชนเหล่าอื่น จึงเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไป ณ
เบื้องหน้าโดยแท้”
จากนั้น
พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท
พระคาถานี้ว่า
น
เว กทริยา เทวโลกํ
วชนฺติ
พาลา หเว นปฺปสํสนฺติ
ทานํ
ธีโร
จ ทานํ อนุโมทมาโน
เตเนวะ
โส โหติ สุขี
ปรตฺถ ฯ
พวกคนตระหนี่
จะไปสู่เทวโลกไม่ได้เลย
พวกชนพาลแล
ย่อมไม่สรรเสริญทาน
ส่วนนักปราชญ์
อนุโมทนาทานอยู่
เพราะเหตุนั้นนั่นเอง
นักปราชญ์นั้น จึงเป็นผู้มีสุขในโลกหน้า.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชุณหอำมาตย์ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
พระธรรมเทศนามีประโยชน์แก่บริษัทผู้ประชุมกัน ชุณหอำมาตย์
ครั้นเป็นพระโสดาบันแล้ว
ได้ถวายทานอย่างที่พระราชาถวายแล้วสิ้น 7 วันเหมือนกัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น