วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ปาปวรรค:11. เรื่องชน 3 กลุ่ม



11. เรื่องชน 3 กลุ่ม

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตะวัน   ทรงปรารภชน  3  คน  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า   อนฺตลิกฺเข     สมุทฺทมชฺเฌ   เป็นต้น

มีภิกษุ  3 กลุ่มมีประสบการณ์ไปพบเห็นที่แตกต่างกัน คือ ภิกษุกลุ่มที่หนึ่ง  จะเดินทางมาเข้าเฝ้าพระศาสดา  ในระหว่างทางได้ไปแวะพักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ขณะที่พวกชาวบ้านกำลังตระเตรียมปรุงอาหารบิณฑบาตถวายพระสงฆ์อยู่นั้น  มีบ้านหลังหนึ่งเกิดไฟไหม้ และมีเสวียนไฟ(ลักษณะเป็นวงกลม) ปลิวขึ้นสู่ท้องฟ้า  และมีอีกาตัวหนึ่งบินสอดคอเข้าไปในวงเสวียนไฟตกลงมาตายที่กลางหมู่บ้าน  ภิกษุทั้งหลายเห็นอีกาบินสอดคอเข้าไปในเสวียนตกลงมาตายเช่นนั้น  ก็กล่าวว่า  จะมีก็แต่พระศาสดาเท่านั้นที่จะทรงทราบกรรมชั่วที่ส่งผลให้อีกาตัวนี้ต้องมาประสบชะตากรรมเสียชีวิตอย่างสยดสยองครั้งนี้ 

ภิกษุกลุ่มที่สอง  โดยสารเรือจะไปเฝ้าพระศาสดา  เมื่อเรือลำนั้นเดินทางมาถึงกลางมหาสมุทร  เกิดการหยุดนิ่งอยู่กับที่  พวกผู้โดยสารมากับเรือต่างปรึกษาหารือกันถึงสาเหตุที่ทำให้เรือหยุด   เห็นว่าในเรือน่าจะมีคนกาลกัณณี  จึงได้ทำสลากแจกให้แต่ละคนจับเพื่อค้นหาคนกัณณีคนนั้น  ปรากฏว่าสลากคนกาลกัณณีนั้น ภรรยาของนายเรือจับได้ถึงสามครั้ง  นายเรือจึงกล่าวขึ้นว่า  คนทั้งหลายจะมาตายเพราะหญิงกาลกัญณีคนนี้ไม่ได้  จึงจับภรรยาของนายเรือ ใช้กระสอบทรายมัดที่คอแล้วผลักตัวลงไปในน้ำทะเล   เมื่อหญิงภรรยาของนายเรือถูกจับถ่วงน้ำไปแล้ว  เรือก็สามารถเคลื่อนตัวได้อย่างปาฏิหาริย์   เมื่อภิกษุเหล่านั้นเดินทางถึงจุดหมายปลายทางแล้ว  ก็ขึ้นฝั่งจะเดินทางต่อไปเฝ้าพระศาสดา  พระกลุ่มนี้ตั้งใจว่าจะทูลถามว่า  หญิงผู้นี้ทำกรรมชั่วอะไรไว้  จึงเป็นผู้โชคร้ายถูกถ่วงน้ำจนเสียชีวิต

ภิกษุกลุ่มที่สามก็จะเดินทางมาเฝ้าพระศาสดาเหมือนกัน  แต่ในระหว่างทางได้เข้าไปสอบถามที่พระภิกษุวัดแห่งหนึ่งว่าพอจะมีที่พักค้างแรมสักคืนในบริเวณใกล้เคียงหรือไม่  เมื่อได้รับแจ้งว่ามีถ้ำแห่งหนึ่งพอจะพักค้างแรมได้  จึงได้เดินทางไปพัก ณ ที่นั้น  แต่พอถึงช่วงกลางดึกก็มีหินใหญ่ก้อนหนึ่งกลิ้งมาปิดที่ปากถ้ำ  ในตอนเช้าพวกภิกษุจากวัดที่อยู่ใกล้ๆเดินทางมาที่ถ้ำ เมื่อเห็นหินใหญ่กลิ้งมาปิดอยู่ที่ปากถ้ำเช่นนั้น  ก็ได้ไปตระเวนขอแรงชาวบ้านจากเจ็ดหมู่บ้านให้มาช่วยกันผลักหินก้อนนั้น  แต่ไม่ประสบความสำเร็จ   ด้วยเหตุนี้พระภิกษุ  7 รูปจึงถูกขังอยู่ในถ้ำโดยไม่ได้ฉันอาหารฉันเป็นเวลา  7 วัน  พอถึงวันที่  7  หินใหญ่ที่ปิดปากถ้ำก็เคลื่อนตัวออกมาเองราวปาฏิหาริย์  ภิกษุกลุ่มนี้ก็ตั้งใจว่า  เมื่อเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาแล้วก็จะทูลถามว่าเป็นวิบากกรรมชั่วอะไรที่ทำให้พวกท่านต้องถูกขังอยู่ในถ้ำนานถึง  7 วันเช่นนี้

ภิกษุทั้งสามกลุ่มได้เดินทางมาพบกันระหว่างทาง  จึงเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาพร้อมกัน  ภิกษุแต่ละกลุ่มก็ได้กราบทูลถึงสิ่งที่กลุ่มตนได้ประสบพบเห็นมา  และพระศาสดาได้ตรัสตอบคำถามของพระภิกษุทั้งสามกลุ่มดังนี้

พระศาสดาตรัสตอบคำถามของพระภิกษุกลุ่มแรกว่า  ภิกษุทั้งหลาย  กานั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้  เรื่องมีอยู่ว่า  ชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี  ฝึกโคของตนอยู่  แต่ไม่อาจฝึกได้  ด้วยว่าโคของเขาเดินไปได้หน่อยเดียวก็นอน  แม้เขาจะตีให้ลุกขึ้น  ให้เดินไปได้หน่อยเดียวก็ล้มตัวลงนอนเหมือนอย่างเดิม  ชาวนานั้น  แม้พยายามแล้วก็ไม่สามารถฝึกโคได้สำเร็จ  จึงมีความโกรธ กล่าวกับมันว่า  อยากนอนนัก  ก็นอนอยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปไหนอีก  ว่าแล้วก็เอาฟ่อนฟางมามัดที่คอโคแล้วจุดไฟเผา   โคถูกไฟคลอกตาย ภิกษุทั้งหลาย  กรรมอันเป็นบาปนั้น  ชาวนานั้นกระทำแล้วในครั้งนั้น  ทำให้เขาหมกไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน  เพราะวิบากของกรรมอันเป็นบาปนั้น  เกิดแล้วในกำเนิดกา  7  ครั้ง  ถูกไฟไหม้ตายในอากาศอย่างนี้แหละ  ด้วยเศษวิบากกรรม"

พระศาสดาตรัสตอบปัญหาของพระภิกษุกลุ่มที่สองว่า ภิกษุทั้งหลาย  ครั้งหนึ่งมีหญิงผู้หนึ่ง  เลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง  นางพาสุนัขตัวนี้ไปไหนมาไหนด้วย  จนพวกเด็กๆเห็นพากันล้อเลียน  นางทั้งโกรธและรู้สึกอับอายมากจึงได้วางแผนฆ่าสุนัขนั้น  นางได้เอาหม้อมาใส่ทรายจนเต็มแล้วผูกหม้อทรายนั้นที่คอของสุนัขแล้วถ่วงสุนัขนั้นลงในน้ำ จนสุนัขนั้นจมน้ำตาย   จากผลของกรรมชั่วครั้งนั้น  นางตกรกอยู่เป็นเวลานาน  ในร้อยชาติสุดท้าย นางถูกมัดถ่วงด้วยกระสอบทรายที่คอก่อนจะถูกผลักลงน้ำจนเสียชีวิต

พระศาสดาตรัสตอบปัญหาของพระภิกษุกลุ่มที่สามว่า ภิกษุทั้งหลาย  ครั้งหนึ่งเด็กเลี้ยงโค 7 คนเห็นเหี้ยตัวหนึ่งเดินเข้าไปในช่องจอมปลวก  จึงช่วยกันปิดทางออกทั้ง 7     ช่องของจอมปลวกด้วยกิ่งไม้และก้อนดินเหนียว  หลังจากปิดช่องทางไม่ให้เหี้ยออก  พวกเด็กก็ต้อนโคไปเลี้ยง ณ ที่อื่น  หลังจากนั้นอีกเจ็ดวัน  เมื่อต้อนโคกลับมาที่เดิมจึงนึกขึ้นมาได้  และได้ไปช่วยกันเปิดช่องจอมปลวกให้เหี้ยนั้นออกมา  ก็เพราะวิบากกรรมครั้งนั้น    ทำให้ทั้ง 7 คนถูกขังอยู่ในถ้ำนานถึง 7 วันโดยไม่ได้รับประทานอาหารแบบนี้  ในช่วง 14 ชาติสุดท้าย

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามพระศาสดาว่า  ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี  แล่นไปสู่มหาสมุทรก็ดี  เข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขาก็ดี  จะไม่ทำให้สามารถรอดพ้นจากกรรมได้  ใช่หรือไม่  พระเจ้าข้า  พระศาสดาตรัสว่า  อย่างนั้นแหละ   ภิกษุทั้งหลาย  ไม่ว่าจะไปอยู่ในอากาศ หรือไปอยู่ที่ใดก็ตาม  ไม่มีที่ไหนๆที่บุคคลไปอยู่แล้ว  จะรอดพ้นจากกรรมชั่วได้

จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 127 ว่า

  อนฺตลิกฺเข     สมุทฺทมชฺเฌ
  ปพฺพตานํ  วิวรํ  ปวิสฺส
  วิชฺชเต   โส  ชคติปฺปเทโส
ยตฺรฏฺฐิโต   มุจเจยฺย   ปาปกมฺมาฯ

คนที่ทำกรรมชั่วไว้  หนีไปแล้วในอากาศ
ก็ไม่พึงพ้นจากความชั่วได้
หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร
ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
หนีเข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขา
ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
เพราะเขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใด
พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น  หามีอยู่ไม่.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง   ภิกษุเหล่านั้น  บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น พระธรรมเทศนามีประโยชน์แม้แก่มหาชนผู้มาประชุมกัน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น