06.เรื่องพระอังคุลิมาลเถระ
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน
ทรงปรารภพระอังคุลิมาลเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ยสฺส
ปาปํ กตํ กมฺมํ
เป็นต้น
พระองคุลิมาลเถระ เป็นบุตรของพราหมณ์ปุโรหิต
ในพระราชสำนักของพระเจ้าปเสนทิโกศล
มีนามเดิมว่าอหิงสกะ
เมื่อเจริญวัยแล้ว
ได้เดินทางไปศึกษาที่เมืองตักกสิลา
อันเป็นเมืองมหาวิทยาลัยเลื่องชื่อในสมัยนั้น
อหิงสกะมีความเฉลียวฉลาดมาก
และเชื่อฟังในคำอบรมสั่งสอนของอาจารย์
จึงเป็นที่รักของอาจารย์ และภรรยาของอาจารย์ พวกศิษย์อื่นๆมีความริษยาอหิงสกะ
จึงไปพูดยุแหย่ส่อเสียดอาจารย์ว่าอหิงสกะเป็นชู้กับภรรยาของอาจารย์ ครั้งแรกอาจารย์ฟังแล้วก็ไม่เชื่อ
แต่พอพวกศิษย์พูดกรอกหูหลายครั้งเข้าก็เชื่อคำยุแหย่ของศิษย์นั้น และรับปากว่าจะจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับอหิงสกะ
แต่การจะฆ่าศิษย์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีจะทำลายเกียรติภูมิของอาจารย์ได้
อาจารย์จึงคิดวางแผนลึกซึ้งวางแผนให้คนอื่นฆ่าแทน
โดยบอกให้อหิงสกะไปฆ่าคนจำนวนหนึ่งพันคนจะเป็นหญิงหรือเป็นชายก็ได้ เมื่อทำสำเร็จอาจารย์ก็จะสอนศาสตร์ที่ล้ำค่าอย่างหนึ่งให้ อหิงสกะต้องการเรียนเรียนศาสตร์ชนิดนี้มาก
จึงได้ยินยอมพร้อมใจที่จะสังหารคนตามที่อาจารย์บอก อหิงสกะฆ่าคนไปเรื่อยๆ และเพื่อให้ไม่ลืมจำนวน
ก็ได้ตัดนิ้วมือของเหยื่อสังหารแต่ละคนมาทำเป็นพวงมาลัยแขวนไว้ที่คอ ด้วยเหตุนี้อหิงสกะจึงมีชื่อ
อังคุลิมาล(มีนิ้วมือเป็นพวงมาลัย)
และเป็นที่หวาดหวั่นของผู้คนในชนบทเป็นอันมาก พระราชาสดับเรื่องความโหดร้ายของอหิงสกะ จึงเตรียมการที่จะเสด็จไปปราบ เมื่อนางมันตานี มารดาของอหิงสกะ
ทราบว่าพระราชาจะเสด็จไปปราบบุตร
ก็รักและเป็นห่วงบุตร ได้ออกเดินทางเข้าไปในป่าเพื่อบอกบุตรให้รีบหนีไปเสีย ขณะนั้นที่คอของอหิงสกะมีพวงมาลัยนิ้วมือจำนวน 999
นิ้ว อีกนิ้วเดียวก็จะครบหนึ่งพัน
ในเช้าตรู่ของวันนั้น
พระศาสดาทรงทอดพระเนตรเห็นอังคุลิมาลเข้ามาในข่ายคือพระญาณของพระองค์ และทรงทราบว่า
หากพระองค์ไม่เสด็จไปโปรด องคุลิมาลก็จะตามหาเหยื่อคนสุดท้ายก็จะไปพบและสังหารมารดา
อันจะส่งผลให้ประกอบอนันตริยกรรมในข้อมาตุฆาต(ฆ่ามารดา) ดังนั้น
พระศาสดาจึงเสด็จไปยังป่าอันเป็นที่อยู่ของอังคุลิมาล
อังคุลิมาล
หลังจากที่มิได้พักผ่อนหลับนอนเต็มตาหลายวันหลายคืนก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
ในขณะเดียวกันก็มีความกระหายที่จะฆ่าคนให้ครบจำนวนหนึ่งพันตามโควต้าเพื่อให้บรรลุภารกิจที่รับมาจากอาจารย์ ได้ตกลงใจว่าจะฆ่าบุคคลคนแรกที่ตนพบ
เมื่อมองไปพบพระศาสดาอยู่เบื้องหน้าก็ได้วิ่งชูดาบติดตามไป
เมื่อวิ่งตามไปนานแต่วิ่งไม่ทันเสียทีในขณะที่ตัวเองก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากเกือบจะสิ้นแรงอยู่รอมร่อ จึงส่งเสียงร้องไปว่า “พระหยุดก่อน
พระหยุดก่อน” และพระศาสดาได้ตรัสตอบว่า
“เราหยุดแล้ว แต่ท่านสิยังไม่หยุด”
อังคุลิมาลไม่เข้าใจคำพูดของพระศาสดา จึงตะโกนถามไปว่า “ พระ
ท่านทำไมพูดว่าท่านหยุดแล้ว และพูดว่า ข้าพเจ้ายังไม่หยุด”
พระศาสดาตรัสว่า “ที่เราพูดว่าเราหยุดนั้น หมายความว่า
เราหยุดฆ่าล้างผลาญสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
เราหยุดทำร้ายสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
และเราตั้งตนอยู่ในเมตตาพรหมวิหาร กรุณาพรหมวิหาร ในสัตว์ทั้งปวง แต่ท่านสิยังฆ่าสัตว์อื่น ยังทรมานสัตว์อื่น และยังไม่ได้ตั้งตนในเมตตาพรหมวิหาร กรุณาพรหมวิหาร ด้วยเหตุนี้เราจึงกล่าวว่าท่านสิยังไม่หยุด”
เมื่ออังคุลิมาลได้ฟังดำรัสของพระศาสดา ก็คิดว่า “ คำพูดเหล่านี้ต้องเป็นคำพูดของบัณฑิต
ภิกษุนี้มีความเฉลียวฉลาดและมีความแกล้วกล้า ท่านจักต้องเป็นผู้นำของภิกษุทั้งหลาย ท่านจักต้องเป็นพระพุทธเจ้าแน่ๆ ท่านจักต้องมาเพื่อประทานแสงสว่างแก่เราเป็นแน่” เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว
อังคุลิมาลก็ได้วางดาบและขอให้พระศาสดาบวชให้เป็นภิกษุ และต่อมาอังคุลิมาลก็บวชในสำนักของพระศาสดา
มารดาขององคุลิมาล เที่ยวค้นหาบุตรชายและร้องเรียกชื่อของเขาทุกหนทุกแห่งในป่าแต่ไม่พบ เมื่อค้นหาจนเหนื่อยก็เดินทางกลับบ้าน เมื่อพระราชาและข้าราชบริพารจะมาจับอังคุลิมาล ก็มาพบว่าอยู่ในวัดกับพระศาสดา
และทรงทราบว่าได้ละทิ้งความชั่วทั้งปวงเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุ พระราชาและข้าราชบริพารก็ได้เดินทางกลับ ในระหว่างที่มาบวชอยู่ในวัด
พระองคุลิมาลได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานอย่างขะมักเขม้น
จนในที่สุดชั่วเวลาไม่นานได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
วันหนึ่ง
ขณะที่พระอังคุลิมาลเดินไปบิณฑบาต
ได้มาถึงยังสถานที่แห่งหนึ่งที่พวกเด็กๆทะเลาะกันอยู่ และใช้ก้อนหินขว้างปากัน
มีก้อนหินก้อนหนึ่งลอยมากระทบถูกที่ศีรษะของพระองคุลิมาลได้รับบาดเจ็บสาหัส พระองคุลิมาลได้เดินทางกลับไปเฝ้าพระศาสดา และพระศาสดาตรัสปลอบว่า “องคุลิมาล
เธอขจัดความชั่วออกไปได้หมดแล้ว
จงมีความอดทน
เธอกำลังชดใช้กรรมที่เคยได้กระทำในอดีตในชาตินี้ กรรมเหล่านี้จะทำให้เธอเสวยทุกข์ในนรกนานแสนนาน”
หลังจากบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว พระอังคุลิมาล ไปปลีกวิเวกเสวยวิมุติมุข และได้เปล่งอุทานในเวลานั้นว่า”
ก็ผู้ใด
ประมาทแล้วในก่อน
ภายหลังไม่ประมาท ผู้นั้น ย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง เหมือนดวงจันทร์ พ้นจากหมอก
ฉะนั้น”
ครั้นเปล่งอุทานแล้ว ก็ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า “ผู้มีอายุ
พระเถระบังเกิดแล้ว ณ ที่ไหนหนอแล” พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามถึงกระทู้ที่สนทนากันอยู่นั้น จึงตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราปรินิพพานแล้ว”
เมื่อภิกษุทั้งหลาย กราบทูลถามว่า “พระอังคุลิมาลเถระ ฆ่ามนุษย์มีประมาณเท่านี้ ปรินิพพานได้หรือ ? พระเจ้าข้า”
จึงตรัสว่า
“อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย
เพราะอังคุลิมาลนั้น
ไม่ได้กัลยาณมิตรสักคนหนึ่ง
จึงได้ทำบาปมีประมาณเท่านี้
ในกาลก่อน แต่ภายหลัง เธอได้กัลยาณมิตรเป็นปัจจัย จึงได้เป็นผู้ไม่ประมาท เหตุนั้น
บาปกรรมนั้น
อันบุตรของเราละได้แล้วด้วยกุศล”
จากนั้น
พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท
พระคาถานี้ว่า
ยสฺส
ปาปํ กตํ กมฺมํ
กุสเลน
ปหียติ
โสมํ
โลกํ ปภาเสติ
อพฺภา
มุตฺโตว จนฺทิมา ฯ
บุคคลใดละบาปที่ตนทำไว้แล้วได้ด้วยกุศล
บุคคลนั้น
ย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง
เหมือนดวงจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ฉะนั้น.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก
บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น