วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

โลกวรรค:06.เรื่องพระอังคุลิมาลเถระ



06.เรื่องพระอังคุลิมาลเถระ

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระอังคุลิมาลเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  ยสฺส  ปาปํ  กตํ  กมฺมํ  เป็นต้น

พระองคุลิมาลเถระ  เป็นบุตรของพราหมณ์ปุโรหิต ในพระราชสำนักของพระเจ้าปเสนทิโกศล  มีนามเดิมว่าอหิงสกะ  เมื่อเจริญวัยแล้ว  ได้เดินทางไปศึกษาที่เมืองตักกสิลา อันเป็นเมืองมหาวิทยาลัยเลื่องชื่อในสมัยนั้น   อหิงสกะมีความเฉลียวฉลาดมาก  และเชื่อฟังในคำอบรมสั่งสอนของอาจารย์  จึงเป็นที่รักของอาจารย์ และภรรยาของอาจารย์   พวกศิษย์อื่นๆมีความริษยาอหิงสกะ  จึงไปพูดยุแหย่ส่อเสียดอาจารย์ว่าอหิงสกะเป็นชู้กับภรรยาของอาจารย์  ครั้งแรกอาจารย์ฟังแล้วก็ไม่เชื่อ  แต่พอพวกศิษย์พูดกรอกหูหลายครั้งเข้าก็เชื่อคำยุแหย่ของศิษย์นั้น  และรับปากว่าจะจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับอหิงสกะ  แต่การจะฆ่าศิษย์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีจะทำลายเกียรติภูมิของอาจารย์ได้  อาจารย์จึงคิดวางแผนลึกซึ้งวางแผนให้คนอื่นฆ่าแทน  โดยบอกให้อหิงสกะไปฆ่าคนจำนวนหนึ่งพันคนจะเป็นหญิงหรือเป็นชายก็ได้  เมื่อทำสำเร็จอาจารย์ก็จะสอนศาสตร์ที่ล้ำค่าอย่างหนึ่งให้  อหิงสกะต้องการเรียนเรียนศาสตร์ชนิดนี้มาก  จึงได้ยินยอมพร้อมใจที่จะสังหารคนตามที่อาจารย์บอก  อหิงสกะฆ่าคนไปเรื่อยๆ และเพื่อให้ไม่ลืมจำนวน ก็ได้ตัดนิ้วมือของเหยื่อสังหารแต่ละคนมาทำเป็นพวงมาลัยแขวนไว้ที่คอ  ด้วยเหตุนี้อหิงสกะจึงมีชื่อ อังคุลิมาล(มีนิ้วมือเป็นพวงมาลัย)  และเป็นที่หวาดหวั่นของผู้คนในชนบทเป็นอันมาก  พระราชาสดับเรื่องความโหดร้ายของอหิงสกะ  จึงเตรียมการที่จะเสด็จไปปราบ  เมื่อนางมันตานี มารดาของอหิงสกะ ทราบว่าพระราชาจะเสด็จไปปราบบุตร  ก็รักและเป็นห่วงบุตร ได้ออกเดินทางเข้าไปในป่าเพื่อบอกบุตรให้รีบหนีไปเสีย  ขณะนั้นที่คอของอหิงสกะมีพวงมาลัยนิ้วมือจำนวน 999 นิ้ว  อีกนิ้วเดียวก็จะครบหนึ่งพัน

ในเช้าตรู่ของวันนั้น  พระศาสดาทรงทอดพระเนตรเห็นอังคุลิมาลเข้ามาในข่ายคือพระญาณของพระองค์  และทรงทราบว่า  หากพระองค์ไม่เสด็จไปโปรด  องคุลิมาลก็จะตามหาเหยื่อคนสุดท้ายก็จะไปพบและสังหารมารดา   อันจะส่งผลให้ประกอบอนันตริยกรรมในข้อมาตุฆาต(ฆ่ามารดา)   ดังนั้น พระศาสดาจึงเสด็จไปยังป่าอันเป็นที่อยู่ของอังคุลิมาล 

อังคุลิมาล  หลังจากที่มิได้พักผ่อนหลับนอนเต็มตาหลายวันหลายคืนก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า  ในขณะเดียวกันก็มีความกระหายที่จะฆ่าคนให้ครบจำนวนหนึ่งพันตามโควต้าเพื่อให้บรรลุภารกิจที่รับมาจากอาจารย์  ได้ตกลงใจว่าจะฆ่าบุคคลคนแรกที่ตนพบ  เมื่อมองไปพบพระศาสดาอยู่เบื้องหน้าก็ได้วิ่งชูดาบติดตามไป  เมื่อวิ่งตามไปนานแต่วิ่งไม่ทันเสียทีในขณะที่ตัวเองก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากเกือบจะสิ้นแรงอยู่รอมร่อ  จึงส่งเสียงร้องไปว่า  พระหยุดก่อน  พระหยุดก่อนและพระศาสดาได้ตรัสตอบว่า เราหยุดแล้ว  แต่ท่านสิยังไม่หยุด  อังคุลิมาลไม่เข้าใจคำพูดของพระศาสดา  จึงตะโกนถามไปว่า พระ ท่านทำไมพูดว่าท่านหยุดแล้ว และพูดว่า ข้าพเจ้ายังไม่หยุด” 

พระศาสดาตรัสว่า  ที่เราพูดว่าเราหยุดนั้น  หมายความว่า เราหยุดฆ่าล้างผลาญสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย  เราหยุดทำร้ายสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย  และเราตั้งตนอยู่ในเมตตาพรหมวิหาร กรุณาพรหมวิหาร  ในสัตว์ทั้งปวง   แต่ท่านสิยังฆ่าสัตว์อื่น  ยังทรมานสัตว์อื่น  และยังไม่ได้ตั้งตนในเมตตาพรหมวิหาร   กรุณาพรหมวิหาร   ด้วยเหตุนี้เราจึงกล่าวว่าท่านสิยังไม่หยุด  เมื่ออังคุลิมาลได้ฟังดำรัสของพระศาสดา  ก็คิดว่า คำพูดเหล่านี้ต้องเป็นคำพูดของบัณฑิต  ภิกษุนี้มีความเฉลียวฉลาดและมีความแกล้วกล้า  ท่านจักต้องเป็นผู้นำของภิกษุทั้งหลาย  ท่านจักต้องเป็นพระพุทธเจ้าแน่ๆ  ท่านจักต้องมาเพื่อประทานแสงสว่างแก่เราเป็นแน่เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว  อังคุลิมาลก็ได้วางดาบและขอให้พระศาสดาบวชให้เป็นภิกษุ   และต่อมาอังคุลิมาลก็บวชในสำนักของพระศาสดา


มารดาขององคุลิมาล  เที่ยวค้นหาบุตรชายและร้องเรียกชื่อของเขาทุกหนทุกแห่งในป่าแต่ไม่พบ  เมื่อค้นหาจนเหนื่อยก็เดินทางกลับบ้าน  เมื่อพระราชาและข้าราชบริพารจะมาจับอังคุลิมาล  ก็มาพบว่าอยู่ในวัดกับพระศาสดา และทรงทราบว่าได้ละทิ้งความชั่วทั้งปวงเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุ  พระราชาและข้าราชบริพารก็ได้เดินทางกลับ  ในระหว่างที่มาบวชอยู่ในวัด  พระองคุลิมาลได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานอย่างขะมักเขม้น จนในที่สุดชั่วเวลาไม่นานได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

วันหนึ่ง  ขณะที่พระอังคุลิมาลเดินไปบิณฑบาต  ได้มาถึงยังสถานที่แห่งหนึ่งที่พวกเด็กๆทะเลาะกันอยู่  และใช้ก้อนหินขว้างปากัน  มีก้อนหินก้อนหนึ่งลอยมากระทบถูกที่ศีรษะของพระองคุลิมาลได้รับบาดเจ็บสาหัส  พระองคุลิมาลได้เดินทางกลับไปเฝ้าพระศาสดา  และพระศาสดาตรัสปลอบว่า  องคุลิมาล  เธอขจัดความชั่วออกไปได้หมดแล้ว  จงมีความอดทน  เธอกำลังชดใช้กรรมที่เคยได้กระทำในอดีตในชาตินี้  กรรมเหล่านี้จะทำให้เธอเสวยทุกข์ในนรกนานแสนนาน” 

หลังจากบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว  พระอังคุลิมาล ไปปลีกวิเวกเสวยวิมุติมุข  และได้เปล่งอุทานในเวลานั้นว่า
ก็ผู้ใด  ประมาทแล้วในก่อน  ภายหลังไม่ประมาท  ผู้นั้น  ย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง  เหมือนดวงจันทร์  พ้นจากหมอก  ฉะนั้น
ครั้นเปล่งอุทานแล้ว  ก็ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ  ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า  ผู้มีอายุ  พระเถระบังเกิดแล้ว    ที่ไหนหนอแล  พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามถึงกระทู้ที่สนทนากันอยู่นั้น  จึงตรัสว่า  ภิกษุทั้งหลาย   บุตรของเราปรินิพพานแล้ว  เมื่อภิกษุทั้งหลาย กราบทูลถามว่า พระอังคุลิมาลเถระ  ฆ่ามนุษย์มีประมาณเท่านี้  ปรินิพพานได้หรือ ? พระเจ้าข้า   จึงตรัสว่า  อย่างนั้น  ภิกษุทั้งหลาย  เพราะอังคุลิมาลนั้น  ไม่ได้กัลยาณมิตรสักคนหนึ่ง  จึงได้ทำบาปมีประมาณเท่านี้  ในกาลก่อน  แต่ภายหลัง  เธอได้กัลยาณมิตรเป็นปัจจัย  จึงได้เป็นผู้ไม่ประมาท  เหตุนั้น  บาปกรรมนั้น  อันบุตรของเราละได้แล้วด้วยกุศล

จากนั้น  พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

ยสฺส  ปาปํ  กตํ  กมฺมํ
กุสเลน   ปหียติ
โสมํ  โลกํ  ปภาเสติ
อพฺภา  มุตฺโตว  จนฺทิมา 

บุคคลใดละบาปที่ตนทำไว้แล้วได้ด้วยกุศล
บุคคลนั้น  ย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง
เหมือนดวงจันทร์พ้นแล้วจากหมอก  ฉะนั้น.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น