วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

โกธวรรค:03.เรื่องอุตตราอุบาสิกา



03.เรื่องอุตตราอุบาสิกา

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน  ทรงทำภัตตกิจในเรือนของนางอุตตรา  ทรงปรารภอุบาสิกาชื่ออุตตรา  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า   อกฺโกเธน  ชิเน  โกธํ   เป็นต้น

นางอุตตราในเรื่องนี้  เป็นธิดาของนายปุณณะ  ซึ่งนายปุณณะนี้เดิมเป็นผู้ยากไว้  แต่ต่อมาได้เป็นเศรษฐี   เรื่องราวมีอยู่ว่า  นายปูณณะเป็นคนงานทำงานอยู่กับสุมนเศรษฐีในกรุงราชคฤห์   ในวันหนึ่ง  นายปุณณะและภรรยาได้ถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระสารีบุตร  หลังจากที่ท่านออกจากนิโรธสมาบัติ   จากผลของการถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระเถระทำให้ปุณณะได้กลายเป็นเศรษฐีในทันที  โดยก่อนหน้านี้นายปุณณะไปไถนาอยู่ในนาของเศรษฐีและได้พบว่าดินที่ไถขึ้นมากลายเป็นทอง  นายปุณณะจึงได้ขนทองทั้งหมดไปถวายพระราชา  พระราชาจึงได้สถาปนาให้นายปุณณะเป็นเศรษฐีอย่างเป็นทางการ  ต่อมาเมื่อครอบครัวของเศรษฐีใหม่ปุณณะผู้นี้ได้ถวายทานแด่พระศาสดาและภิกษุทั้งหลายเป็นเวลา 7 วัน  พอถึงวันที่ 7   หลังจากได้ฟังธรรมชื่ออนุปุพีกถาจากพระศาสดาแล้ว  คนในครอบครัวของเปุณณศรษฐี  คือ ปุณณเศรษฐีของ   ภรรยาของปุณณเศรษฐี  และนางอุตตราธิดาของปุณณเศรษฐี  ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน     

ต่อมา  นางอุตตราธิดาของปุณณเศรษฐีนี้  ได้แต่งงานงานกับเศรษฐีของกรุงราชคฤห์ชื่อสุมนเศรษฐี  ซึ่งตระกูลของสุมนเศรษฐีเป็นมิจฉาทิฏฐิ  ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา   เมื่อนางอุตตราซึ่งเป็นพระโสดาบันเมื่อไปอยู่ที่บ้านของสามี  ก็เกิดความไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง  นางจึงแจ้งไปทางปุณณเศรษฐีผู้บิดาว่า  การที่นางไปอยู่ในบ้านของสามีซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐินั้น  ไม่ผิดอะไรกับการเข้าไปอยู่ในกรงขัง  เพราะนางไม่ได้มีโอกาสได้พบเห็นและได้ถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์  ฝ่ายปุณณเศรษฐีผู้บิดามีความเห็นใจธิดา  ได้ส่งเงินไปให้ธิดาจำนวน 15,000  กหาปณะ  เพื่อที่ว่าเมื่อธิดาขออนุญาตจากสามีได้แล้ว  ก็ให้นำเงินจำนวนนี้ไปว่าจ้างหญิงนครโสเภณีให้มาช่วยดูแลสามีแทนนาง  ธิดาของปุณณเศรษฐีจึงนำเงินนั้นไปว่าจ้างนางสิริมา  หญิงนครโสเภณีที่มีความงดงดงามมาก  ให้มาทำหน้าที่ดูแลสามีของนางเป็นเวลา 15 วัน 

ในระหว่าง 15 วันนั้น  นางอุตตราได้ถวายทานแด่พระศาสดาและภิกษุทั้งหลาย   พอถึงวันที่ 15  ขณะที่นางอุตตรากำลังตระเตรียมอาหารอยู่ในครัว  สามีของนางอุตตรามองดูนางอุตตราจากทางหน้าต่างของปราสาทแล้วก็ยิ้ม  และพึมพำกับตนเองว่า  นางคนนี้ช่างโง่เขลาเสียจริงๆ  ช่างไม่รู้จักหาความสุขให้แก่ตนเองบ้างเลย  มามัวเหนื่อยจัดหาอาหารถวายพระไปทำไมกัน  ข้างนางสิริมาเห็นสามีของนางอุตตรายิ้ม  ลืมไปว่าตัวเองเป็นแค่เมียเช่า  คิดว่าตัวเองเป็นเมียจริง เกิดรู้สึกริษยาหึงหวงนางอุตตรา  ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้  ได้ลงจากปราสาทเดินเข้าไปในครัว  นำกระบวยไปตักน้ำมันเนยที่กำลังเดือดแล้วจะนำไปรดลงที่บนศีรษะของนางอุตตรา  ข้างนางอุตตราเห็นนางสิริมาหน้าตาทมึงทึงเดินถือกระบวยน้ำมันเดินเข้ามาหา  ก็มิได้แสดงความโกรธเคืองตอบนางสิริมาแต่อย่างใด  ตรงกันข้ามนางกับคิดในแง่ดีกับนางสิริมาและนึกขอบใจนางสิริมาด้วยซ้ำว่า  ก็เพราะนางสิริมาได้มาทำหน้าที่ดูแลสามีแทนนางนี่เอง  ทำให้นางได้มีโอกาสได้ทำบุญให้ทานต่างๆอยู่นี้  เมื่อนางอุตตรามองเห็นนางนางสิริมาถือกระบวยน้ำมันเดินเข้ามาใกล้  นางอุตตราจึงได้กระทำการแผ่เมตตาถึงนาง  และกระทำสัจจะอธิษฐานว่า ถ้าเรามีความโกรธในนางสิริมานั้น  ก็ขอเนยร้อนนี้จงลวกเราเถิด  ถ้าเราไม่มีความโกรธในตัวนาง ก็ขอเนยร้อนนี้อย่าลวกเรา

ด้วยเหตุที่นางอุตตราไม่ได้มีความแค้นเคียงประสงค์ร้ายต่อนางสิริมา  น้ำมันเนยที่นางสิริมานำไปรดลงบนศีรษของนางอุตตรา  จึงกลายสภาพเป็นเหมือนน้ำเย็น   นางสิริมาคิดว่าน้ำมันเนยที่ตักมารดคราวแรกนี้คงจะเย็นก่อนทำให้นางอุตตราไม่ร้อน  จึงได้วิ่งจะไปตักน้ำมันเนยร้อนอีกครั้งหนึ่ง  แต่ได้ถูกสกัดจากพวกหญิงรับใช้ของนางอุตตรา จนล้มลง  แล้วใช้กำลังเข้าตบตีนางสิริมาเป็นพัลวัน  นางอุคตตราต้องเข้าไปห้ามแล้วให้วพวกหญิงรับใช้นำน้ำมันสมุนไฟมาทาให้แก่นางสิริมา

พอถึงช่วงนี้  นางสิริมาได้สติตระหนักถึงสถานภาพที่แท้จริงของตน  มีความเสียใจในสิ่งที่นางทำกับนางอุตตรา  จึงแสดงท่าทีว่าจะขอโทษ  แต่นางอุตตรากล่าวว่า  นางมีพ่อ  นางสิริมาต้องไปขอโทษพ่อของนางอุตตราเสียก่อน  เมื่อพ่อของนางอุตตรายกโทษให้แล้ว  นางจึงจะยกโทษให้นางสิริมา   นางสิริมากล่าวว่า นางพร้อมที่จะไปขอโทษเศรษฐีผู้บิดของนางอุตตรา  แต่นางอุตตราอธิบายว่า  คนที่นางบอกว่าพ่อนั้นไม่ใช่คนที่ชื่อปุณณเศรษฐีซึ่งเป็นบิดาบังเกิดเกล้าในวัฏฏะ(พ่อทางโลก)  แต่นางหมายถึงพระพุทธเจ้า  ซึ่งเป็นบิดาบังเกิดเกล้าในวิวัฏฏะ (พ่อทางธรรม)  นางสิริมาได้แสดงความต้องการจะไปเฝ้าพระศาสดาเพื่อขอโทษ  จึงได้มีการจัดแจงให้นางสิริมาถวายภัตตาหารแด่พระศาสดาและภิกษุทั้งหลาย  ที่บ้านของนางอุตตรา ในวันรุ่งขึ้น

หลังจากเสร็จภัตตกิจแล้ว  ก็ได้มีการกราบทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างนางสิริมากับนางอุตตรา   จากนั้นนางสิริมาได้กราบทูลพระศาสดาว่า นางเป็นฝ่ายทำไม่ดีต่อนางอุตตรา  นางจึงมาขอประทานอภัยโทษจากพระศาสดา  เพื่อที่ว่าต่อไปนางอุตตราจะได้ยกโทษให้นาง    พระศาสดาได้ตรัสถามถึงความรู้สึกของนางอุตตราในช่วงที่นางสิริมาตักน้ำมันเนยเดือดมารดลงบนศีรษะ   นางอุตตรากราบทูลว่า  หม่อมฉันคิดอย่างนี้ว่า จักรวาลแคบนัก  พรหมโลกก็ยังต่ำเกินไป  คุณของหญิงสหายของหม่อมฉันเท่านั้นใหญ่  เพราะหม่อมฉันอาศัยเขา  จึงได้เพื่อถวายทานและฟังธรรม  ถ้าว่า  หม่อมฉันมีความโกรธอยู่เหนือนางนี้  สัปปิ(เนยใส)  ที่เดือดพล่านนี้  จงลวกหม่อมฉันเถิด   ถ้าหาไม่แล้ว  ขออย่าลวกเลย  แล้วได้แผ่เมตตาไปยังนางสิริมานี้  พระเจ้าข้า

พระศาสดาตรัสว่า  ดีละๆ  อุตตรา  การชนะความโกรธนั้น  สมควร  ก็ธรรมดาคนมักโกรธ  พึงชนะด้วยความไม่โกรธ   คนด่าเขาตัดพ้อเขา  พึงชนะได้ด้วยความไม่ด่าตอบ  ตัดพ้อตอบ  คนตระหนี่จัด  พึงชนะได้ด้วยการให้ของของตน  คนมักพูดเท็จ  พึงชนะได้ด้วยคำจริง

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

อกฺโกเธน  ชิเน  โกธํ
อสาธํ  สาธุนา  ชิเน
ชิเน  กทริยํ  ทาเนน
สจฺเจนาลิกวาทินํ ฯ

พึงชนะคนโกรธ  ด้วยความไม่โกรธ
พึงชนะคนไม่ดี  ด้วยความดี
พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเหลวไหล  ด้วยการพูดคำจริง.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  นางสิริมา   พร้อมด้วยสตรีทั้ง 500  ได้บรรลุโสดาปัตติผล.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น