12. เรื่องนางปฏาจารา
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน
ทรงปรารภพระปฏาจาราเถรี ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 113 นี้
นางปฏาจารา เป็นธิดาเศรษฐีผู้มีสมบัติ 40
โกฏิในกรุงสาวัตถี เป็นหญิงรูปงามมาก ในตอนที่นางมีอายุ 16 ปี
แม้ว่ามารดาบิดาจะเคร่งครัดมากถึงกับกักตัวให้ไปอยู่บนปราสาท 7
ชั้น แต่นางก็ไม่วายจะมีความสัมพันธ์ลับๆกับคนใช้ของนางคนหนึ่ง
และในที่สุดทั้งสองคนก็ได้หนีตามกันไปอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ช่วยกันทำมาหากินตามประสายากจน เมื่ออยู่ร่วมฉันสามีภรรยากันมาไม่นาน
นางก็ตั้งครรภ์บุตรคนแรก
เมื่อครรภ์แก่ใกล้จะคลอดนางได้ขออนุญาตสามีจะเดินทางกลับไปคลอดบุตรในเรือนของบิดามารดาในกรุงสาวัตถี
แต่สามีคัดค้านไม่ให้ไป
วันหนึ่งตอนที่สามีไม่อยู่นางแอบได้เดินทางกลับไปที่กรุงสาวัตถีโดยลำพังและได้คลอดบุตรในระหว่างทาง
สามีได้ติดตามไปพบแล้วนำตัวนางกับลูกกลับมาอยู่ที่หมู่บ้านตามเดิม
ต่อมานางก็ตั้งครรภ์บุตรคนที่สอง
และเมื่อครรภ์แก่นางก็ได้ลักลอบเดินทางจะกลับไปที่บ้านพ่อแม่ของนางที่กรุงสาวัตถีโดยได้พาบุตรคนแรกตามไปด้วย
ข้างสามีก็ได้ติดตามนางไปเพื่อจะตามให้กลับ แต่แม้จะอ้อนวอนอย่างไรนางก็ไม่ยอมกลับ
ในที่สุดนางก็เกิดปวดท้องคลอดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
และในขณะเดียวกันก็ได้เกิดพายุฝนตกลงมาอย่างหนัก
สามีจึงต้องออกหาที่สำหรับให้ภรรยาคลอดฉุกเฉิน
ขณะที่เขากำลังถือมีดเดินหาที่เหมาะสำหรับให้ภรรยาคลอดอยู่นั้น
ก็ได้เห็นจอมปลวกแห่งหนึ่งเป็นทำเลที่เหมาะมาก เขาจึงเอามีดถางหญ้าให้เตียน
และก็เผอิญมีอสรพิษตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากจอมปลวกกัดเขาจนเสียชีวิต
นางปฏาจารามองทางรอคอยสามีกลับมาและในที่สุดก็ได้คลอดบุตรคนที่สองออกมา
พอถึงรุ่งเช้านางก็ใช้มือข้างหนึ่งอุ้มบุตรที่คลอดใหม่เข้าสะเอว
และใช้มืออีกข้างหนึ่งจูงบุตรออกเที่ยวเดินหาสามีจนไปพบศพนอนตายอยู่ที่ข้างจอมปลวก
นางรำพึงรำพันว่าที่สามีมาตายครั้งนี้ก็เพราะนางแท้ๆ
และนางก็ได้เดินทางต่อเพื่อจะไปที่นครสาวัตถี
นางไปถึงแม่น้ำอจิรวดี
เห็นน้ำขึ้นมากอยู่ในระดับราวนมเนื่องจากฝนตกหนักตลอดคืนยังรุ่ง
จึงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะเดินข้ามแม่น้ำโดยพาบุตรสองคนไปพร้อมๆกัน
นางจึงใช้วิธีปล่อยบุตรคนโตไว้ที่ริมตลิ่ง
แล้วอุ้มบุตรที่คลอดใหม่อายุแค่วันเดียวข้ามไปก่อน
แล้ววางทารกไว้ที่ริมตลิ่งอีกฟากหนึ่ง
จากนั้นนางก็ได้ข้ามน้ำกลับไปเพื่อจะพาบุตรคนโตข้ามมาอีก
แต่ขณะที่นางอยู่กลางแม่น้ำนั่นเอง
ก็มีเหยี่ยวใหญ่ตัวหนึ่งบินมาเห็นทารกนอนอยู่ที่ริมตลิ่งคิดว่า
เป็นชิ้นเนื้อจึงบินโฉบลงมา นางเห็นเช่นนั้นจึงป้องปากไล่นกให้ตกใจแต่ก็ไม่เป็นผล
ข้างบุตรคนโตได้ยินมารดาตะโกนไล่นกเข้าใจว่ามารดาเรียกตนให้ลงไปหา
จงเดินลงน้ำและได้ถูกกระแสน้ำพัดหายไป ด้วยเหตุนี้นางปฏาจาราจึงสูญเสียบุตรทั้งสองคนและสามีในเวลาไล่เลี่ยกัน
นางปฏาจาราเดินร้องไห้รำพันว่า “บุตรของเราคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป
คนหนึ่งถูกน้ำพัดพาไป สามีก็มาตายเสียเพราะถูกงูพิษกัดในที่เปลี่ยว” นางมาพบชายผู้หนึ่งเดินมาแต่กรุงสาวัตถี
จึงถามถึงบิดามารดา ชายผู้นั้นตอบว่า เนื่องจากเมื่อคืนนี้ฝนตกหนักมาก
บ้านของบิดาของนางได้พังถล่มลงมาทับทั้งพ่อแม่และพี่ชายของนางเสียชีวิตทั้งหมด
และศพของคนทั้งสามได้ถูกเผารวมกันในเชิงตะกอนเดียวกันเรียบร้อยไปแล้ว
พอนางปฏาจาราได้ข่าวร้ายซ้ำเติมเข้ามาอีก ก็ถึงกับวิกลจริต เดินโซซัดโซเซร้องไห้รำพันบ่นเพ้อไปว่า
“บุตร
2
คนตายเสียแล้ว สามีของเรา ก็ตายเสียที่ทางเปลี่ยว
มารดาบิดาและพี่ชายก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนอันเดียวกัน” นางไม่รู้สึกตัวแม้ว่าผ้านุ่งจะหลุดลุ่ยออกจากกาย
วิ่งกระเซอะกระเซิง ปากร้องตะโกนรำพึงรำพันไปตามถนนสายต่างๆ ผู้คนพบเห็นต่างก็ใช้ก้อนดินก้อนหินขว้างปาไล่นางให้หนีไป
พระศาสดาประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางพุทธบริษัท
4
ในเชตวันมหาวิหาร ได้ทอดพระเนตรเห็นนางผู้บำเพ็ญบารมีมาแสนกัป เดินมาแต่ไกล
พระองค์ดำริว่า “เว้นเราเสีย
ผู้อื่นชื่อว่าสามารถจะเป็นที่พึ่งของหญิงผู้นี้ได้ ไม่มี” จึงได้ดลจิตให้นางเดินทางไปสู่พระเชตวัน
เหล่าพุทธบริษัทเมื่อเห็นนางมาจึงพยายามขวัดขวางมิให้นางเข้าไปในวัด
แต่พระศาสดาตรัสว่า “พวกท่านจงหลีกไป
อย่าห้ามเธอเลย” เมื่อนางเข้ามาใกล้
จึงตรัสว่า “จงกลับได้สติเถิด
น้องหญิง” นางกลับได้สติด้วยพุทธานุภาพ
เกิดความละอายใจที่ร่างกายท่อนล่างไม่ได้สวมใส่อะไร จึงนั่งคุกเขาลง
ชายผู้หนึ่งจึงได้โยนผ้าห่มไปให้นาง นางนุ่งผ้าห่มนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดา
ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แทบพระบาททั้งสอง ทูลว่า “ ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึงแก่หม่อมฉันเถิด
พระเจ้าข้า เพราะว่าเหยี่ยวเฉี่ยวบุตรคนหนึ่งของหม่อมฉันไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดพาไป
สามีตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนถล่มทับ
ถูกเผาบนเชิงตะกอนอันเดียวกัน”
พระศาสดาตรัสกับนางว่า “อย่าคิดเลย
ปฏาจารา เธอมาสู่สำนักของเราผู้สามารถจะเป็นที่พึ่งพำนักอาศัยของเธอได้แล้ว
ตลอดสังสารวัฏนี้ น้ำตาที่ไหลออกของเธอผู้ร้องไห้อยู่เมื่อปิยชนทั้งหลาย คือ บุตร
สามี บิดามารดา และพี่ชาย เสียชีวิตไปนี้ มีปริมาณมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4
เสียอีก” จากนั้นพระศาสดาได้ทรงแสดง
อนมตัคคสูตร ทำลายความเศร้าโศกของนางให้เบาบางลง ต่อแต่นั้นได้ตรัสเตือนว่า “ปฏาจารา
ขึ้นชื่อว่าปิยชนมีบุตรเป็นต้น ไม่อาจเป็นที่ต้านทาน เป็นที่พึ่ง
หรือเป็นที่ป้องกันของผู้ไปสู่ปรโลกได้ เพราะฉะนั้น บุตรเป็นต้นเหล่านั้นถึงมีอยู่
ก็ชื่อว่าย่อมไม่มีทีเดียว ส่วนบัณฑิตชำระศีลแล้ว
ควรชำระทางที่ยังสัตว์ให้ถึงนิพพานของตนเท่านั้น” เมื่อได้สดับเช่นนี้แล้วนางปฏาจาราก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล
เมื่อนางได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีแล้ว จึงมีชื่อว่า
“ปฏาจารา” (แปลว่า
ผู้กลับความประพฤติได้ หรือ ผู้มีความประพฤติเว้นจากผืนผ้า) วันหนึ่ง
นางเอาหม้อตักน้ำล้างเท้าเทน้ำลงไป ในครั้งแรกน้ำไหลไปได้เพียงนิดหน่อยก็หยุด
ครั้งที่สองน้ำที่นางเทลงไปไหลไปได้ไกลกว่าครั้งแรก และครั้งที่สาม
น้ำที่เทลงไปไหลไปได้ไกลมากยิ่งขึ้น นางได้ถือเอาการไหลไปของน้ำเป็นคติสอนใจ
ให้เห็นความจริงเกี่ยวกับวัยทั้ง 3
ของสัตว์ทั้งหลาย ว่า “สัตว์ทั้งหลาย
ตายเสียในปฐมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งแรก ตายเสียในมัชฌิมวัยก็มี
เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งสอง ไหลไปไกลกว่าครั้งแรก ตายเสียในปัจฉิมวัยก็มี
เหมือนน้ำที่เทลงครั้งที่สาม ไปได้ไกลกว่าครั้งที่สอง”
พระศาสดาประทับในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไป
เป็นดังประทับยืนตรัสอยู่เฉพาะหน้าของนาง ตรัสว่า “ปฏาจารา เป็นอย่างนั้น
ด้วยว่าความเป็นอยู่วันเดียวก็ดี ขณะเดียวก็ดี
ของผู้เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งปัญจขันธ์เหล่านั้น
ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ 100 ปี
ของผู้ไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งปัญจขันธ์”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถาที่ 113
ว่า
โย จ วสฺสสตํ ชีเว
อปสฺสํ อุทยพฺพยํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย
ปสฺสโต อุทยพฺพยํฯ
ผู้ไม่เห็นความเกิดดับ
ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
สู้ผู้ที่เห็นความเกิดดับ
มีชีวิตอยู่แค่วันเดียว ไม่ได้.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง นางปฏาจารา ได้บรรลุพระอรหัต
พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น