วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สหัสสวรรค:02.รื่องพระทารุจีริยเถระ



02.รื่องพระทารุจีริยเถระ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระทารุจีริยเถระ ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 101 นี้

ครั้งหนึ่ง พ่อค้ากลุ่มหนึ่งแล่นเรือไปค้าขายทางทะเล เรือของพวกเขาเกิดอับปางในทะเลและเสียชีวิตทุกคน มีผู้รอดชีวิตอยู่เพียงคนเดียว โดยเขาผู้นี้ได้จับกระดานแผ่นหนึ่งไว้ได้และพยายามกระเสือกกระสนเข้าหาฝั่งของท่าเรือชื่อสุปปารกะได้สำเร็จ เขาไม่มีเสื้อผ้าปกปิดร่างกายจึงได้เอาปอพันท่อนไม้แห้งทำเป็นผ้านุ่งห่ม ถือกระเบื้องจากเทวสถานไปนั่งขอทานอยู่ ณ สถานที่ที่ผู้คนเดินผ่านไปมา ประชาชนที่เดินผ่านไปมาเห็นเขาแล้วก็ให้ข้าวยาคูและอาหารเป็นต้นแล้วกล่าวยกย่องว่า ผู้นี้เป็นพระอรหันต์มีผู้มีศรัทธาบางคนนำเสื้อผ้ามาให้ แต่เขาก็ได้ปฏิเสธที่จะใช้เสื้อผ้านั้นเพราะเกรงไปว่าหากเขาสวมใส่เสื้อผ้าเสียแล้ว ลาภสักการะของเราจักเสื่อมจึงเลือกที่จะนุ่งห่มแต่ผ้าเปลือกไม้เท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว เมื่อผู้คนกล่าวว่าเขาเป็นพระอรหันต์ เขาก็เลยเข้าใจผิดคิดไปว่าตนเองเป็นพระอรหันต์จริงๆ ด้วยเหตุที่เขาใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ซึ่งสวมใส่ผ้าเปลือกไม้ เขาจึงมีชื่อว่า ทารุจีริยะ

ในครั้งนั้นมีท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง ซึ่งในอดีตชาติเคยเป็นเพื่อนร่วมปฏิบัติสมณธรรมกับเขามาก่อน เห็นเขาหลงทางไปเช่นนี้ก็ได้มาช่วยชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้ โดยท้าวมหาพรหมองค์นี้ได้มาหาเขาในคืนหนึ่งและได้บอกว่า พาหิยะ ท่านไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ท่านยังไม่ได้บรรลุพระอรหัตตมรรคเลย และยิ่งไปกว่านั้นท่านก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะทำให้เป็นพระอรหันต์ด้วยพาหิยะทารุจีริยะมองดูท้าวมหาพรหมแล้วถามว่า ท่านผู้เป็นเทวดา เอาละ เรายอมรับว่าเรามิได้เป็นพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้พระอรหันต์หรือผู้บรรลุพระอรหัตตมรรคมีอยู่ในโลกหรือไม่ท้าวมหาพรหมกล่าวว่า พาหิยะ บัดนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ในนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคนอกจากจะเป็นพระอรหันต์แล้ว ยังทรงแสดงธรรมเพื่อความเป็นพระอรหันต์ด้วย

พาหิยะฟังคำของท้าวมหาพรหมแล้วมีความสลดใจ และได้รีบเดินทางออกจากท่าเรือสุปปารกะไปยังนครสาวัตถี ซึ่งท้าวมหาพรหมก็ได้ใช้อำนาจเทวฤทธิ์บันดาลให้พาหิยะเดินทางไปถึงนครแห่งนั้นซึ่งอยู่ไกลออกไปถึง 120 โยชน์โดยใช้เวลาเดินทางเพียงคืนเดียวเท่านั้น พาหิยะพบว่าพระศาสดากำลังบิณฑบาตพร้อมด้วยหมู่ภิกษุจึงได้เข้าไปทำความเคารพแล้วกราบทูลให้ทรงแสดงธรรมโปรด แต่พระศาสดาตรัสตอบว่า เป็นช่วงที่พระองค์กำลังออกบิณฑบาต ยังไม่ถึงเวลาที่จะทรงแสดงธรรมโปรด พาหิยะฟังพระพุทธดำรัสนั้นแล้วกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าอันตรายแห่งชีวิตของพระองค์ หรือของข้าพระองค์ จะบังเกิดขึ้นเมื่อใด ขอพระองค์จงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิดพระศาสดาทรงทราบว่าพาหิยะเดินทางมาไกลถึง 120 โยชน์โดยใช้เวลาเดินทางเพียงคืนเดียวเท่านั้น และทรงทราบด้วยว่าพาหิยะมีปีติปราโมทย์จากการได้เห็นพระองค์ ซึ่งบุคคลที่มีปีติปราโมทย์มากเช่นนี้ แม้ฟังธรรมแล้วจักไม่อาจแทงตลอดสัจธรรมได้ จะต้องรอให้มีจิตสงบเป็นอุเบกขาเสียก่อนเมื่อทรงแสดงธรรมจึงจะได้ผล แต่พาหิยะก็ยังกราบทูลคะยั้นคะยอให้พระศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดให้จงได้ ดังนั้นพระศาสดาจึงได้ทรงแสดงธรรมขณะประทับยืนอยู่บนถนนว่า พาหิยะ เพราะเหตุนั้น เธอพึงศึกษาในศาสนานี้อย่างนี้ว่า เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินเสียง ก็สักแต่ว่าได้ยิน เมื่อได้สูดกลิ่น ก็สักแต่ว่าได้สูดกลิ่น เมื่อสัมผัสด้วยกาย ก็สักแต่ว่าสัมผัส เมื่อรับรู้ด้วยใจ ก็สักแต่ว่ารับรู้

พาหิยะเมื่อได้สดับธรรมของพระศาสดาเช่นนี้แล้ว ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์และได้ทูลขอบรรพชากับพระศาสดา แต่พระศาสดาได้ตรัสบอกให้เขาไปหาบาตรและจีวรมาให้ครบเสียก่อนจึงจะทรงบรรพชาให้ ขณะที่พาหิยะแสวงหาบาตรและจีวรอยู่นั้นเอง เขาก็ได้ถูกแม่โคนมที่นางยักษิณีตนหนึ่งเข้าสิงขวิดตาย เมื่อพระศาสดาเสด็จเที่ยวบิณฑบาต ทรงกระทำภัตตกิจเสร็จแล้ว เสด็จออกไปพร้อมกับภิกษุทั้งหลาย ทรงพบร่างของพาหิยะนอนตายอยู่ที่ข้างกองขยะ จึงทรงบัญชาให้พระภิกษุทั้งหลายทำการฌาปนกิจศพของพาหิยะ แล้วรับสั่งให้สร้างสถูปเป็นที่บรรจุอัฐิธาตุของท่านไว้

 เมื่อพระศาสดาเสด็จกลับถึงวัดพระเชตวันแล้ว ได้ตรัสบอกภิกษุทั้งหลายที่สงสัยทูลถามถึงปรายภพของพาหิยะว่า พาหิยะ ปรินิพพานแล้ว พระศาสดายังได้ตั้งพาหิยะในตำแหน่งเอตทัคคะว่า ภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะ(พาหิยะผู้นุ่งผ้าเปลือกไม้) เป็นเลิศกว่าภิกษุ ผู้สาวกของเราผู้ตรัสรู้เร็วภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า พาหิยทารุจีริยะบรรลุพระอรหัตเมื่อใดพระศาสดาตรัสตอบว่า พาหิยทารุจีริยะ บรรลุอรหัตขณะยืนฟังเราแสดงธรรมบนถนนขณะเที่ยวบิณฑบาตพระภิกษุทั้งหลายสงสัยต่อไปว่าคนที่ฟังธรรมเพียงเล็กน้อย จะสามารถบรรลุพระอรหัตได้อย่างไร พระศาสดาจึงตรัสว่า ปริมาณของคำพูดหรือความยาวของถ้อยคำไม่เป็นเรื่องสำคัญอะไร แต่สำคัญอยู่ที่คุณภาพของคำพูดหรือถ้อยคำ ที่จะเอื้อประโยชน์แก่บุคคลนั้นๆต่างหาก

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัส พระธรรมบท พระคาถาที่ 101 ว่า

 สหสฺสมฺปิ เจ คาถา
 อนตฺถปทสญฺหิตา
เอกํ คาถาปทํ เสยฺโย
ยํ สุตวา อุปสมฺมติฯ

คาถาแม้ตั้งพัน
แต่ไม่ประกอบด้วยบทที่มีประโยชน์
สู้คาถาที่ประกอบด้วยประโยชน์เพียงบทเดียว
ที่คนฟังแล้วสงบ ไม่ได้.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น