12.เรื่องอหิเปรต
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในวัดพระเวฬุวัน ทรงปรารภอหิเปรตตนหนึ่ง ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 71
นี้
ครั้งหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานะและพระลักขณเถระ
ลงจากภูเขาคิชฌกูฏ เพื่อจะไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
ท่านพระมหาโมคคัลลานะแลเห็นเปรตตนหนึ่ง จึงได้ยิ้มออกมาแต่ไม่พูดอะไร เมื่อพระเถรทั้งสองรูปกลับถึงพระวัดพระเวฬุวัน
พระมหาโมคคัลลานะจึงบอกกับพระลักขณเถระว่า ที่ท่านยิ้มออกมานั้น
เพราะท่านเห็นเปรตซึ่งมีศีรษะเป็นมนุษย์แต่มีร่างเป็นงู พระศาสดาได้ตรัสว่า
พระองค์เองก็เคยทอดพระเนตรเห็นเปรตตนนี้ในวันที่ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณเหมือนกัน
พระศาสดาทรงเล่าว่า เมื่อนานมาแล้วมีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนมาก
ประชาชนได้ช่วยกันก่อสร้างบรรณศาลาถวายท่านและก็ได้เดินทางไปหาท่านโดยเดินผ่านทุ่งนาของชายผู้หนึ่งไป
ชายเจ้าของนากลัวว่าข้าวกล้าในนาของตนจะได้รับความเสียหายจากการเหยียบย่ำของประชาชนที่เดินไปบรรณศาลา
จึงจุดไฟเผาวัดบรรณศาลาหลังนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น
เมื่อพวกประชาชนไปไม่พบพระปัจเจกพุทธเจ้าและทราบว่าชายเจ้าของนาเป็นผู้จุดไฟเผาบรรณศาลา
ก็ได้ช่วยกันทุบตีจนชายเจ้าของนานั้นเสียชีวิต
ชายเจ้าของนาเมื่อเสียชีวิตแล้วก็ได้ไปเกิดในอเวจีมหานรก หมกไหม้อยู่ในนรกจนแผ่นดินในโลกมนุษย์หนาขึ้นประมาณโยชน์หนึ่ง
จึงเกิดเป็นอหิเปรตเพราะเศษของกรรมที่ยังเหลือ
พระศาสดา ครั้นตรัสบุรพกรรมของอหิเปรตนั้นแล้ว
จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย
ชื่อว่าบาปกรรมนั่น เป็นเช่นกับน้ำนม น้ำนมที่บุคคลกำลังรีด
ย่อมยังไม่แปรไปฉันใด
กรรมอันบุคคลกระทำไว้ ก็ยังไม่ทันให้ผลฉันนั้น แต่ในกาลใด กรรมให้ผล ในกาลนั้น
ผู้กระทำย่อมประสบทุกข์เห็นปานนั้น”
จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 71
ว่า
น หิ ปาปํ กตํ กมฺมํ
สชฺชุขีรํว มุจฺจติ
ฑหนฺตํ พาลมนฺเวติ
ภสฺมาจฺฉนฺโนว ปาวโกฯ
กรรมชั่วอันบุคคลทำแล้ว ยังไม่ให้ผล
เหมือนน้ำนมที่รีดในขณะนั้น ยังไม่แปรไป ฉะนั้น
บาปกรรม ย่อมตามเผาคนพาล
เหมือนไฟอันเถ้ากลบไว้ ฉะนั้น.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น