11. เรื่องชัมพุกาชีวก
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภชัมพุกาชีวก ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 70
นี้
ชัมพุกาชีวก
เป็นบุตรของเศรษฐีผู้หนึ่งในกรุงราชคฤห์ เขาพอคลอดออกมาเป็นทารก
ก็มีพฤติกรรมที่ประหลาดๆเนื่องจากกรรมเก่าที่ได้กระทำมาแต่อดีตชาติ คือ
เป็นทารกที่ไม่ชอบนอนบนที่นอน
แต่ชอบนอนบนพื้นดิน ไม่ชอบรับประทานอาหารปกติ
แต่ชอบรับประทานอุจจาระของตนเองเป็นอาหาร
เมื่อเติบโตขึ้นมาหน่อย เขาไม่ต้องการจะนุ่งผ้า บิดามารดาก็จึงได้พาเขาไปบวชเป็นนักบวชในสำนักของพวกอาชีวก
เมื่อพวกอาชีวกพบว่าเขามีพฤติกรรมชอบรับประทานอุจจาระของตนเองก็ได้ขับไล่เขาออกจากสำนัก เมื่อถูกขับไล่ออกจากสำนักของอาชีวก
เขาก็ได้มาอาศัยอยู่ที่ใกล้ส้วมหลุมสาธารณะ ในตอนกลางคืนก็ได้ไปนำเอาอุจจาระมนุษย์มารับประทาน
แต่ในตอนกลางวันก็ทำทีเหนี่ยวก้อนหินยกขาขึ้นมาข้างหนึ่ง ยืนเงยหน้าอ้าปากกว้าง
เขาบอกกับทั้งหลายว่าที่ต้องยืนอ้าปากอยู่เสมอนั้น
ก็เพราะเขากินลมเป็นอาหาร ส่วนที่ต้องยืนด้วยขาข้างเดียวนั้นก็เพราะว่าตัวของเขาหนักมากหากยืนทั้งสองขาแผ่นดินก็จะสั่นไหว และก็ยังคุยออกมาเป็นตุเป็นตะด้วยว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยนั่ง
และไม่เคยนอน” ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงเรียกเขาว่า “ชัมพุกะ”
หลายคนมานิยมนับถือเขา
และบางคนถึงกับนำอาหารมาให้ แต่ชัมพุกะปฏิเสธโดยกล่าวว่า “เรากินลมอย่างเดียว
ไม่กินอาหารอย่างอื่น เพราะเมื่อเรากินอาหารอย่างอื่น ตบะย่อมเสื่อมไป” เมื่อถูกประชาชนคะยั้นคะยอมากเข้าๆ
เขาก็เอาปลายหญ้าคามาจุ่มลงที่อาหารที่คนนำมาให้แล้วยกขึ้นไปแตะที่ปลายลิ้นของตัวเอง
แล้วกล่าวว่า “ท่านจงไปเถิด
เท่านี้ก็เป็นบุญกุศลที่จะเป็นประโยชน์ และความสุข แก่ท่านทั้งหลายแล้ว” ชัมพุกะดำเนินชีวิตโดยเปลือยกาย รับประทานอุจจาระ ถอนผมด้วยเสี้ยนตาล และนอนบนพื้นดินเช่นนี้ มาเป็นเวลานานถึง 55 ปี
อยู่มาวันหนึ่ง
พระศาสนาทอดพระเนตรเห็นชัมุกาชีวกเข้ามาอยู่ในข่ายคือพระญาณพิเศษของพระองค์
และทรงทราบว่าชัมพุกาชีวกนี้จะได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฎิสัมภิทาญาณทั้งหลาย ดังนั้นในตอนเย็นของวันนั้น
พระองค์จึงได้เสด็จไปยังที่ที่ชัมพุกาชีวกพักอาศัยอยู่
และได้ทรงขอพักค้างแรมด้วย
ชัมพุกาชีวะชี้มือไปที่ถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแผ่นหินที่เขาพักอาศัยอยู่นั้น
แล้วทูลให้พระศาสดาประทับค้างแรมอยู่ ณ ที่นั้น ในช่วงยามที่ 1
ยามที่ 2 และยามที่ 3
ท้าวจาตุมมหาราชทั้ง 4 ท้าวสักกเทวราช และท้าวมหาพรหม
ได้มาเฝ้าพระศาสดาตามลำดับ
ในช่วงที่ท่านทั้งหลายเหล่านี้มาเฝ้า ทั่วทั้งป่าเกิดความสว่างไสว และชัมพุกาชีวกก็ได้แลเห็นป่าไม้สว่างไสวทั้ง 3
ครั้งนี้ด้วย พอถึงตอนเช้า ชัมพุกาชีวกเดินตรงไปหาพระศาสดาและได้สอบถามถึงแสงสว่างเหล่านั้น
เมื่อพระศาสดาตรัสว่า
แสงสว่างเหล่านั้นมาจากร่างของท้าวจาตุมมหาราชทั้ง 4
ท้าวสักการะ และท้าวมหาพรหม มาเฝ้าพระองค์
ชัมพุกาชีวิตเกิดความประทับใจมากได้กล่าวกับพระศาสดาว่า “ท่านจะต้องเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมแน่ๆ
มิฉะนั้นท้าวจาตุมมหาราช ท้าวสักกะ และท้าวมหาพรหม คงจะไม่เสด็จมาเฝ้า
แม้แต่ตัวช้าพเจ้าเองบำเพ็ญตบะมาเป็นเวลานานถึง 55 ปี
โดยรับประทานแต่ลมเป็นอาหาร และยืนขาเดียว เหนี่ยวก้อนหินอยู่อย่างนี้
ท้าวจาตุมมหาราชทั้ง 4 ท้าวสักกะ
และท้าวมหาพรหมก็ยังไม่เคยเสด็จมาหาเลย” พระศาสดาตรัสตอบว่า “ดูก่อนชัมพุกะ เธอลวงชาวโลก และยังจะมาลวงเราอีก
เรารู้ว่าเธอกินอุจจาระและนอนบนพื้นดินมาเป็นเวลา 55 ปี”
นอกจากนั้นแล้ว
พระศาสดาก็ยังนำเรื่องในอดีตชาติเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะมาเล่าให้ชัมพุกาชีวกฟังว่า
สมัยนั้น
ชัมพุกาชีวกเป็นพระภิกษุได้ขัดขวางพระเถระรูปหนึ่งไม่ให้ติดตามไปรับอาหารบิณฑบาตที่บ้านของอุบาสกคนหนึ่ง
และเมื่ออุบาสกคนนี้ฝากอาหารมาถวายพระเถระก็ได้เอาเททิ้งในระหว่างทาง
เพราะอกุศลกรรมนั้นทำให้ชัมพุกาชีวกต้องมารับประทานอุจจาระและนอนบนแผ่นดิน
เมื่อชัมพุกาชีวกได้ฟังเรื่องนี้แล้วก็เกิดความสังเวชใจ มีความละอายใจและเกรงกลัวบาปกรรมจากการหลอกลวงคนอื่น
จึงได้คุกเข่าลงมา และพระศาสดาก็ได้โยนผ้าผืนหนึ่งไปให้ปกปิดกาย จากนั้นพระศาสดาได้แสดงอนุปุพพิกถาให้ฟัง
เมื่อจบเทศนากัณฑ์นั้น
ชัมพุกาชีวกก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย
ถวายบังคมพระศาสดาแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง ทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระศาสดาจึงทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาออก
ตรัสกับชัมพุกาชีวกว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์เถิด”
หลังจากนั้นไม่นาน
พวกชาวอังคะและมคธที่เป็นสาวกก็ได้นำของมาถวายชัมพุกาชีวก
และพวกเขาก็ต้องแปลกใจที่เห็นครูของเขานั่งอยู่กับพระศาสดา
พระชัมพุกเถระจึงได้อธิบายให้สาวกทั้งหลายเหล่านั้นได้ทราบว่าท่านได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว
และท่านเป็นสาวกของพระศาสดา พระศาสดาจึงได้ตรัสกับคนเหล่านั้นว่า
แม้ว่าครูของพวกเขาจะบำเพ็ญตบะด้วยการนำเอาปลายหญ้าตาแตะที่อาหารไปสัมผัสที่ปลายลิ้นนับร้อยปี
การบำเพ็ญตบะเช่นนี้มีค่าไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสิบหกของการประพฤติปฏิบัติในฐานะที่เป็นพระภิกษุอย่างในปัจจุบัน
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 70
ว่า
มาเส มาเส กุสคฺเคน
พาโล ภุญเชถ โภชนํ
น โส สงฺขาตธมฺมานํ
กลํ อคฺฆติ โสฬสึฯ
คนพาล พึงบริโภคโภชนะ
ด้วยปลายหญ้าคาทุกๆเดือน
เขาย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ 16
แห่งท่านผู้มีธรรม
อันนับได้แล้ว(หมายถึงพระอริยบุคคล).
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง การตรัสรู้ธรรม ได้บังเกิดแก่สัตว์ 8
หม่น 4 พัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น