วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อัตตวรรค:05.เรื่องอุบาสกชื่อมหากาล



05.เรื่องอุบาสกชื่อมหากาล

พระศาสดา    เมื่อประทับอยู๋ในพระเชตะวัน  ทรงปรารภอุบาสกผู้โสดาบันคนหนึ่งชื่อมหากาล  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  อตฺตนา  หิ  กตํ  ปาปํ  เป็นต้น

ในวันอุโบสถวันหนึ่ง  มหากาลอุบาสก ได้ไปที่วัดพระเชตวัน  ในวันนั้น เขาได้รักษาศีล 8  (อุโบสถศีล)  และฟังธรรมอยู่ตลอดคืน  และในคืนเดียวกันนั้น  พวกโจรคณะหนึ่งได้เข้าไปปล้นบ้านหลังหนึ่ง  และเจ้าของบ้านหลังนั้นได้แกะรอยติดตามโจรเหล่านั้นมาอย่างกระชั้นชิด  พวกโจรจึงวิ่งกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง  มีโจรกลุ่มหนึ่งหนีมาทางวัดพระเชตวัน  ช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้จะสว่าง  มหากาลอุบาสกกำลังวักน้ำในสระที่อยู่ใกล้กับวัดล้างหน้าของตนอยู่  พวกโจรที่หนีมาเห็นจวนตัวจึงทิ้งทรัพย์ที่ปล้นมาไว้ในที่ไม่ไกลจากที่ที่อุบาสกมหากาลกำลังยืนวักน้ำล้างหน้าอยู่นั้น  เมื่อเจ้าของบ้านมาถึงตรงนั้นพบมหากาลยืนอยู่ไม่ไกลจากทรัพย์ที่โจรทิ้งไว้นั้น  ก็เข้าใจว่ามหากาลเป็นโจร  จึงเข้าไปทุบตีจนถึงแก่ความตาย   ในตอนรุ่งสาง  ภิกษุหนุ่มและสามเณรน้อยกลุ่มหนึ่งที่วัดพระเชตวันไปที่สระแห่งนั้นเพื่อจะตักน้ำ  ได้ไปพบศพของมหากาลอุบาสกตอนตายอยู่ข้างสระก็จำได้  เมื่อกลับมาถึงวัด  ก็ได้เขาไปกราบทูลพระศาสดาให้ทรงทราบ  ถึงสิ่งที่พวกตนได้ไปพบเห็นมามา  และกราบทูลด้วยว่า  อุบาสกผู้นี้มาฟังธรรมอยู่ในวัดแท้ๆ  แต่กลับมาตายอย่างนี้  เป็นการตายที่ไม่เหมาะไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง   พระศาสดาตรัสว่า  การตายของชายผู้นี้แม้ว่าจะไม่เหมาะไม่ควรในชาตินี้  แต่ก็เป็นการตายที่เหมาะที่ควรแก่กรรมที่กระทำในอดีตชาติ  พระศาสดาได้นำเรื่องบุรพกรรมมาตรัสเล่าว่า  การตายของชายผู้นี้เป็นการชดใช้กรรมเก่า  คือ  ในอดีตชาติ ชายผู้นี้เป็นข้าราชการในราชสำนัก  เกิดหลงรักภรรยาของชายผู้หนึ่ง  และได้ทุบตีสามีของหญิงผู้นั้นถึงแก่ความตาย  เพราะผลกรรมนั้นทำให้เขาไปเสวยทุกข์อยู่ในอเวจีมหานรกอยู่นาน  ด้วยเศษของกรรม  เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์  จึงถูกทุบตีเสียชีวิตในชาตินี้    พระศาสดาครั้นตรัสบุรพกรรมของมหากาลอุบาสกแล้ว  ตรัสว่า  ภิกษุทั้งหลาย   บาปกรรมอันตนทำไว้นั่นแล  ย่อมย่ำยีสัตว์เหล่านั้น  ในอบาย 4 อย่างนี้

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

อตฺตนา  หิ  กตํ  ปาปํ
อตฺรชํ  อตฺตสมฺภวํ
อภิมตฺถติ  ทุมฺเมธํ
วชิรํ  วมฺหยํ  มณึ 

บาปอันตนทำไว้เอง
เกิดในตน  มีตนเป็นแดนเกิด
ย่อมย่ำยีบุคคลผู้มีปัญญาทราม
ดุจเพชรย่ำยีแก้วมณี  อันเกิดแต่หิน ฉะนั้น.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ภิกษุที่มาประชุมกัน  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น