วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ชราวรรค:05.เรื่องพระนางรูปนันทาเถรี



05.เรื่องพระนางรูปนันทาเถรี

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระนางรูปนันทาเถรี  ซึ่งเป็นนางงามในชนบท  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  อัฏฺฐีนํ  นครํ  กตํ เป็นต้น

พระนางรูปนันทา  เป็นพระธิดาของพระนางประชาบดีโคตมี  พระน้านางของพระโคดมพุทธเจ้า  พระนางมีพระรูปโฉมงดงามมาก  จึงได้พระนามว่า  รูปนันทา  พระนางเสกสมรสกับเจ้าชายนันทะ  พระเจ้าหลานของพระโคดมพุทธเจ้า   วันหนึ่ง  พระนางทรงดำริว่า  เจ้าพี่ใหญ่ของเราสละสิริราชสมบัติออกผนวช  เป็นพระพุทธเจ้าผู้อัครบุคคลในโลก  แม้โอรสของพระองค์ทรงนามว่าราหุลกุมาร  ก็ผนวชแล้ว  แม้เจ้าพี่ของเรา (คือพระนันทะ)  ก็ผนวชแล้ว  แม้มารดาของเรา ก็ทรงผนวชแล้ว  เมื่อคณะพระญาติทั้งหลายล้วนทรงผนวชแล้วเช่นนี้  จะมีประโยชน์อะไรกับการอยู่ครองเรือนของเรา  เราเองก็จักบวชบ้างเมื่อทรงคิดอย่างนี้แล้ว  ก็ได้ไปผนวชเป็นภิกษุณีอยู่ในสำนักของนางภิกษุณี   การที่พระนางผนวชเป็นภิกษุณีครั้งนี้   จึงมิใช่ผนวชเพราะศรัทธา  แต่เป็นกาผนวชตามพระญาติเท่านั้นเอง

พระนางได้ทรงสดับว่า  พระศาสดาตรัสสอนอยู่เนืองๆว่า รูปไม่เที่ยง  เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา  จึงไม่กล้าจะเสด็จเฝ้าพระศาสดา ด้วยทรงเกรงว่า พระศาสดาจะตรัสโทษของความงามของพระนาง  แต่พวกภิกษุณีและอุบาสิกาที่ได้ไปเฝ้าพระศาสดาและกลับมาแล้วก็ต่างกล่าวสรรเสริญคุณของพระศาสดากันทั้งนั้น  วันหนึ่ง พระนางจึงตกลงใจที่จะเดินทางไปที่วัดพระเชตวันกับเหล่าภิกษุณีทั้งหลาย 

พระศาสดาทรงทราบล่วงหน้าว่าพระนางรูปนันทาจะเสด็จมา  จึงได้ทรงเตรียมการที่จะใช้วิธีการที่เรียกว่า  หนามยอกเอาหนามบ่งกับพระนาง     กล่าวคือ  เมื่อพระนางยึดติดในรูปกายของตนและมีความภาคภูมิใจกับความงามของตนเช่นนี้   ก็ควรที่พระองค์จะทรงถอนความภาคภูมิใจและความยึดติดของพระนางโดยการใช้ความงามเป็นเครื่องแก้   ดังนั้น  เมื่อพระนางเดินทางมาถึงวัดพระเชตวัน  พระศาสดาจึงทรงเนรมิตหญิงงามมากผู้หนึ่ง  อายุราว 16 ปี  สวมใส่ชุดแดง ประดับด้วยอาภรณ์งดงามหลากชนิด  ถือพัด ยืนถวายงานพัดอยู่ในที่ใกล้พระองค์  ซึ่งรูปเนรมิตนี้สามารถมองเห็นได้โดยพระองค์เองและพระนางเท่านั้น  พอพระนางทอดพระเนตรเห็นหญิงงามคนนั้น  ก็เกิดความรู้สึกว่าเมื่อเทียบความงามกันแล้ว  พระนางทรงมีความงามน้อยกว่าหญิงคนนั้น  ขณะที่พระนางจ้องพระเนตรไปที่นางงามนางนั้น  รูปของนางงามนั้นก็เปลี่ยนแปลงจากอายุ 16 ปีเป็นหญิงในวัย 20 ปีด้วยอำนาจฤทธิ์ของพระศาสดา  และเมื่อพระนางจ้องพระเนตรมองไปที่ร่างของหญิงนั้นอีก  ร่างของหญิงที่ถวายงานพัดอยู่นั้นนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ  จากหญิงวัย 20 ปีเปลี่ยนเป็นหญิงวัยชรา  มีฟันหัก  ผมหงอก  หลังโกง  ถือไม้เท้ายักแย่ยักยัน  จากหญิงวัยชราหง่อมนั้นเปลี่ยนเป็นหญิงชราที่ป่วยหนัก  กลิ้งเกลือกไปมาที่อุจจาระและปัสสาวะของตนเอง  และถึงแก่ความตายในที่สุด พอทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นเป็นฉากๆตามลำดับเช่นนี้แล้ว  พระนางรูปนันทาก็เกิดความเบื่อหน่าย  เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงว่า  หญิงนี้ถึงความแก่  ถึงความเจ็บ  ถึงความตาย  ในที่สุด  แม้ร่างกายของพระนางก็จะเป็นเช่นเดียวกัน  ย่อมมีอันจะต้องแก่  ต้อง เจ็บ และต้องตายไปเหมือนกัน  พอมาถึงตอนนี้ พระศาสดาได้ตรัสสอนพระนางถึงความไม่เที่ยง  (อนิจจัง)  ความเป็นทุกข์(ทุกขัง)  และความไม่มีตัวตน(อนัตตา)ของสังขารทั้งหลาย  พอทรงแสดงธรรมเรื่องนี้จบลง  พระนางก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน  ลำดับต่อมา พระศาสดาได้ทรงแสดงสุญญตกัมมัฏฐาน เพื่ออบรมวิปัสสนาเพื่อมรรคผลสูงกว่าให้บังเกิดขึ้นแก่พระนาง  โดยตรัสว่า   นันทา  เธออย่าทำความเข้าใจว่า  สาระในสรีระนี้มีอยู่  เพราะสาระในสรีระนี้  แม้เพียงเล็กน้อย  ก็ไม่มี  สรีระนี้  อันกรรมยกกระดูก 300 ท่อนขึ้น สร้างให้เป็นนครแห่งกระดูกทั้งหลาย
  
จากนั้น  พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

อฏฺฐีนํ  นครํ  กตํ
มํสโลหิตเลปนํ
ยตฺถ  ชรา    มจฺจุ 
มาโน  มกฺโข    โอหิโต 

สรีระ  อันกรรมทำให้เป็นนครแห่งกระดูกทั้งหลาย
ฉาบด้วยเนื้อและโลหิต  เป็นที่ตั้งลงแห่งชรา
 มรณะ มานะ และมักขะ.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  พระนางรูปนันทาเถรี  ได้บรรลุพระอรหัตตผล   พระธรรมเทศนา  ได้มีประโยชน์แก่มหาชน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น