04.เรื่องมารดาของพระกุมารกัสสปเถระ
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู๋ในพระเชตะวัน
ทรงปรารภมารดาของพระกุมารกัสสปเถระ
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “อตฺตา หิ
อตฺตโน นาโถ”
เป็นต้น
ธิดาเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ผู้หนึ่ง ได้ไปขออนุญาตสามีเพื่อบวชเป็นภิกษุณี
เมื่อเข้าไปบวชนั้นได้ไปอยู่ในสำนักของนางภิกษุณีของฝ่ายพระเทวทัตเพราะความไม่รู้
ธิดาเศรษฐีผู้นี้ตั้งครรภ์มาตั้งแต่ก่อนบวชเป็นภิกษุณีแต่นางไม่รู้ พอเข้าไปอยู่ในสำนักภิกษุณีไม่นานครรภ์ของนางก็เริ่มโตขึ้นๆ
พวกภิกษุณีทั้งหลายจึงพานางเข้าไปพบพระเทวทัต
พระเทวทัตก็ได้สั่งให้นางสึกออกไปเป็นคฤหัสถ์ดังเดิม แต่นางได้แจ้งแก่ภิกษุณีอื่นๆว่า
นางไม่ได้ตั้งใจบวชเป็นภิกษุณีอยู่ในฝ่ายพระเทวทัต แต่มาอยู่เพราะความไม่รู้
ขอท่านได้โปรดพานางไปเข้าเฝ้าพระศาสดาที่พระเชตะวันด้วยเถิด ต่อมานางก็ได้ถูกพาตัวไปเข้าเฝ้าพระศาสดา พระศาสดาทรงทราบเป็นอย่างดีว่า นางตั้งครรภ์ตั้งแต่ก่อนที่จะมาบวชเป็นภิกษุณี แต่เพื่อจะไม่ให้เกิดข้อครหาในภายหลัง จึงได้รับสั่งให้คนไปเชิญพระเจ้าปเสนทิโกศล มหาอนาถปิณฑิกเศรษฐี จุลลอนาถปิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขา
และบุคคลในตระกูลใหญ่อื่นๆมาเฝ้า
แล้วรับสั่งให้พระอุบาลีเถระชำระอธิกรณ์ในครั้งนี้
นางวิสาขาได้นำนางภิกษุณีผู้มีครรภ์เข้าไปอยู่ในม่าน
แล้วทำการตรวจสอบตามมือเท้าสะดือและท้องของนางก็แน่ใจว่านางตั้งครรภ์มาตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาส จึงได้นำเรียนพระอุบาลีได้ทราบ
พระอุบาลีจึงได้ประกาศในท่ามกลางคณะบุคคลที่ชุมนุม ณ ที่นั้นว่า นางภิกษุณีเป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อตั้งครรภ์ครบ 10 เดือน นางภิกษุณีก็ได้คลอดบุตรเป็นเพศชาย และถูกพระเจ้าปเสนทิโกศลนำไปทรงเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม และทรงตั้งชื่อให้ว่า กุมารกัสสปะ
เมื่อทารกกุมารกัสสปะอายุได้ 7
ขวบ และทราบว่ามารดาของตนเป็นภิกษุณี
ก็ได้ออกบวชเป็นสามเณร อยู่ในสำนักของพระศาสดา
เมื่อได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วจึงได้นามว่า กุมารกัสสปเถระ ท่านกุมารกัสสปเถระ ได้เรียนพระกัมมัฏฐานจากพระศาสดาแล้วเข้าอยู่ในป่า และได้บำเพ็ญสมณธรรมอย่างไม่ลดละ
ชั่วเวลาไม่นานนักก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ หลังจากสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็ยังอยู่ในป่าต่อไปเป็นเวลา 12 ปี
ข้างภิกษุณีผู้มารดาของพระกุมารกัสสปเถระ ไม่ได้พบพระเถระผู้บุตรเป็นเวลายาวนานถึง 12 ปี
ก็มีความกระหายใคร่พบพระเถระเป็นอย่างมาก
อยู่มาวันหนึ่ง
ขณะที่นางกำลังเดินบิณฑาตอยู่นั้น
ได้แลเห็นพระเถระผู้บุตรเดินอยู่ที่ถนน
ก็วิ่งตามพระเถระพลางร้องให้เรียกชื่อพระเถระไปพลาง พระกุมารกัสสปเถระ เมื่อเห็นเป็นมารดา ก็คิดว่า
หากว่าท่านพูดดีด้วยกับมารดา
นางก็จะยึดติดอยู่กับตัวท่านอยู่
ก็จะเป็นการทำลายอนาคตของนาง
ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ในอนาคตคือการบรรลุนิพพานของมารดา พระเถระจึงได้กล่าวาจาหยาบคายออกไปว่า “ท่านมัวทำอะไรอยู่หรือ แค่ความรักเล็กน้อยในบุตร ท่านก็ยังตัดไม่ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรเช่นนั้น นางภิกษุณีถึงกับตะลึง
คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนั้นจากปากของบุตร นางรำพึงในใจว่า “เราร้องไห้ถึงบุตรนี้มาเป็นเวลานานถึง
12
ปี แต่เขากลับเป็นคนใจดำกับเรา จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะไปมัวรักมัวพะวงถึงเขา
“ พอคิดได้เช่นนี้ นางก็ตัดความรักในบุตร
และก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันเดียวกันนั้นเอง
อยู่มาวันหนึ่ง
ภิกษุทั้งหลายได้ตั้งกระทู้ถามกันในธรรมสภาว่า “ท่านทั้งหลาย
พระกุมารกัสสปเถระ
และพระเถรีเป็นคนดีแท้ๆ
แต่ถูกพระเทวทัตทำลาย
ดีแต่ว่าพระศาสดาไดเข้าช่วยเกื้อหนุนอุ้มชูไว้จึงเป็นอย่างนี้ได้ น่าอัศจรรย์จริง ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงช่วยเหลือชาวโลก”
เมื่อพระศาสดาได้ทราบในกระทู้ของการสนทนา
ได้ตรัสว่า
มิใช่แต่ในชาตินี้เท่านั้นที่พระองค์
เก้อหนุนอุ้มบุคคลทั้งสองไว้
แม้ในอดีตพระองค์ก็เคยช่วยมาแล้ว
และได้ตรัสนิโครธชาดก
ที่กล่าวถึงแม่เนื้อซึ่งกำลังครรภ์แก่ได้รับความช่วยเหลือจากพระยาเนื้อจนไม่ต้องขึ้นเขียงตายทั้งกลม ต่อจากนั้นก็ได้ตรัสว่า
การที่พระเถรีตัดความรักในบุตรแล้วหันมาพึ่งตนเองนั้น เป็นสิ่งงถูกต้อง เพราะ “ภิกษุทั้งหลาย คนจะไปสวรรค์
หรือจะบรรลุพระนิพพานได้นั้น
จะต้องพึ่งตนเอง
จะไปพึ่งคนอื่นไม่ได้”
จากนั้น
พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท
พระคาถานี้ว่า
อตฺตา
หิ อตฺตโน นาโถ
โก
หิ นาโถ ปโร
สิยา
อตฺตนา
หิ สุทนฺเตน
นาถํ
ลภติ ทุลฺลภํ ฯ
ตนแลเป็นที่พึ่งของตน บุคคลอื่นใครเล่า
พึงเป็นที่พึ่งได้ เพราะบุคคลมีตนฝึกฝนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่ง ที่บุคคลได้โดยยาก.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก
บรรลุอริยผลทั้งหลาย
มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น