วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ทัณฑวรรค:09.เรื่องสันตติมหาอำมาตย์



09.เรื่องสันตติมหาอำมาตย์

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภสันตติมหาอำมาตย์  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  อลงฺกโต  เจปิ  สมญฺจเรยฺย  เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง  สันตติมหาอำมาตย์ ปราบปรามพวกกบฏที่พรมแดนได้สำเร็จ  พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพอพระหฤทัย  ประทานราชสมบัติให้ 7  วัน  และได้ประทานหญิงที่เก่งในการร่ายรำและขับร้องนางหนึ่งให้  สันตติอำมาตย์ดื่มสุรามึนเมาอยู่ทั้ง 7 วัน  พอถึงวันที่ 7 ก็แต่งกายด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง  ขึ้นคอช้างไปที่ท่าอาบน้ำ  เห็นพระศาสดากำลังเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน  ก็ได้ผงกศีรษะถวายบังคม  พระศาสดาทรงกระทำการแย้มพระโอษฐ์ (ยิ้ม)  เมื่อพระอานท์ทูลถามถึงสาเหตุของการแย้มพระโอษฐ์นั้น  ได้ตรัสว่า อานนท์  เธอจงดูสันตติมหาอำมาตย์  ในวันนี้เอง  เขาประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่างเทียว  มาสู่สำนักของเรา  จักบรรลุพระอรหัตในเวลาจบคาถาอันประกอบด้วยบท 4 แล้ว  นั่งบนอากาศ  ชั่ง 7 ลำตาล  จักปรินิพพาน

สันตติมหาอำมาตย์  เล่นน้ำตลอดวันอยู่ที่ท่าอาบน้ำ  แล้วไปนั่งดื่มสุราอยู่ที่สวนอุทยาน  และชมการแสดงการร้องรำทำเพลงของหญิงที่พระราชาประทานมาให้นั้น  หญิงนางรำได้แสดงการร้องรำทำเพลงอย่างสุดความสามารถเพื่อให้สันตติมหาอำมาตย์ได้ชม  แต่เนื่องจากนางควบคุมอาหารเป็นเวลา 7 วันเพื่อให้ร่างกายอ้อนแอ้นให้เหมาะกับงานแสดง  ทำให้ในขณะแสดงอยู่นั้นเกิดเป็นลมปากอ้าตาเหลือกเสียชีวิตอย่างฉับพลัน  สันตติมหาอำมาตย์เห็นเหตุการณ์ถึงกับตกตะลึงและเกิดความเสียใจกับการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของนาง  ในขณะที่เกิดความเศร้าสลดใจเขาก็นึกถึงพระศาสดา  จึงได้เดินทางไปเฝ้าพร้อมค้วยคณะในตอนเย็น ๆ  เขาได้กราบทูลพระศาสดาว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ความโศกเป็นปานนี้เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์   ข้าพระองค์มาแล้ว  ก็ด้วยหมายใจว่า  พระองค์จักอาจเพื่อจะดับความโศกของข้าพระองค์ได้  ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์เถิด

พระศาสดาตรัสว่า  ท่านมาสู่สำนักของผู้สามารถ เพื่อดับความโศกได้แน่นอน  อันที่จริง  น้ำตาที่ไหลออกของท่านผู้ร้องไห้  ในเวลาที่หญิงนี้ตาย  ด้วยเหตุนี้นั่นแล  มากกว่าน้ำของมหาสมุทรทั้ง 4”   จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสด้วยพระคาถาว่า  กิเลสเครื่องกังวลใด  มีอยู่ในกาลก่อน  เธอจงยังกิเลสเครื่องกังวลนั้น  ให้เหือดแห้งไป  กิเลสเครื่องกังวลนั้น  จงอย่ามีแก่เธอในภายหลัง  ถ้าเธอจักไม่ยึดถือขันธ์ ในท่ามกลาง  จักเป็นผู้สงบระงับเที่ยวไป

เมื่อพระศาสดาตรัสพระคาถานี้จบลง  สันตติมหาอำมาตย์  ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล  และพิจารณาเห็นว่าอายุสังขารของตนจะสิ้นสุดลงแล้ว  จึงกราบทูลพระศาสดาว่า ข้าพระองค์ผู้เจริญ  ขอพระองค์จงทรงอนุญาตการปรินิพพานแก่ข้าพระองค์เถิด  เมื่อพระศาสดาทรงอนุญาตแล้ว  เขาก็จึงถวายบังคมพระศาสดา  เหาะขึ้นสู่อากาศสูงชั่วลำตาลหนึ่ง  ลงมาถวายบังคมพระศาสดาอีกครั้ง แล้วเหาะขึ้นไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนอากาศ สูงชั่ว 7 ลำตาล  แล้วขออนุญาตเล่าบุรพกรรมของตนถวายพระศาสดา  เสร็จแล้วก็เข้าเตโชธาตุปรินิพพาน  เกิดเปลวไฟเผาไหม้สรีระร่างกาย เหลือเป็นธาตุมีสัณฐานดุจดอกมะลิ  พระศาสดารับสั่งให้ห่ออัฐิธาตุนั้นด้วยผ้าขาว แล้วนำไปบรรจุไว้ในสถูปที่ทางใหญ่ 4  แพร่ง  เป็นที่สักการบูชาของมหาชนสืบต่อไป

พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า  สันตติยังมีเพศเป็นฆราวาส แต่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เช่นนี้  ควรจะเรียกท่านว่า สมณะ หรือ พราหมณ์ ดี  พระศาสดาตรัสว่า  ภิกษุทั้งหลาย  การเรียกบุตรของเราแม้ว่า สมณะ  ก็ควร  เรียกว่า  พราหมณ์  ก็ควรเหมือนกัน

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

อลงฺกโต  เจปิ  สมญฺจเรยฺย
สนฺโต  ทนฺโต  นิยโต  พฺรหฺมจารี
สพฺเพสุ  ภูเตสุ  นิธาย  ทณฺฑํ
โส  พฺราหฺมโณ  โส  สมโณ    ภิกขุฯ

แม้ถ้าบุคคลประดับแล้ว  พึงประพฤติสม่ำเสมอ  เป็นผู้สงบ
 ฝึกแล้ว  เที่ยงธรรม  มีปกติประพฤติประเสริฐ
วางเสียซึ่งอาชญาในสัตว์ทุกจำพวก  บุคคลนั้น
เป็นพราหมณ์  เป็นสมณะ  เป็นภิกษุ.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นมาก  บรรลุโสดาปัตติผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น