04.เรื่องพระอธิมานิกภิกษุ
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน
ทรงปรารภพวกภิกษุผู้มีความสำคัญว่าตนได้บรรลุพระอรหัตตผลหลายรูป ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ยานีมานิ
เป็นต้น
ภิกษุ 500 รูป
หลังจากเรียนหัวข้อพระกัมมัฏฐานจากพระศาสดาแล้ว ก็พากันเข้าไปอยู่ในป่า
และได้พากเพียรพยายามปฏิบัติสมาธิภาวนางอย่างเข้มแข็ง จนได้บรรลุฌาน เกิดความสำคัญว่า “กิจบรรพชิตของเราสำเร็จแล้ว”
กล่าวคือ
เห็นว่าพ้นจากกิเลสอาสวะ เป็นพระอรหันต์เรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินทางกลับจะไปกราบทูลพระศาสดาให้ทรงทราบ
เมื่อภิกษุเหล่านั้นเดินทางถึงซุ้มประตูชั้นนอกของพระเชตวัน พระศาสดาตรัสกับพระอานนท์ว่า “ไม่มีประโยชน์ที่พระเหล่านั้นจะมาเฝ้าเราในขณะนี้ ขอให้พระเหล่านั้นไปอยู่ที่ป่าช้าก่อน แล้วค่อยมาเฝ้าเราในภายหลัง”
พระเถระได้ไปแจ้งความข้อนั้นแก่ภิกษุเหล่านั้น และพระภิกษุเหล่านั้นก็มิได้โต้แย้งใดๆ เพราะคิดว่า พระพุทธเจ้าทรงเห็นกาลไกล ทรงทราบเหตุการณ์ทุกอย่าง พระองค์ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง จึงทรงแนะนำให้พวกเราไปพักอยู่ในป่าช้า
เช่นนี้ ก็จึงพากันไปอยู่ในป่าช้า เมื่อไปพบเห็นศพในป่าช้าที่ถูกทิ้งไว้เป็นเวลา
1-2
วัน ก็เกิดการรังเกียจ แต่พอไปเห็นศพที่เสียชีวิตใหม่ๆ ก็เกิดความกำหนัด ถึงตอนนี้จึงรู้ตัวว่าพวกตนยังมีกิเลสอยู่ พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎี
ทรงฉายพระรัศมีไปดุจตรัสอยู่เฉพาะหน้าของภิกษุเหล่านั้น ตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลายเห็นร่างกระดูกเช่นนั้น ยังความยินดีด้วยอำนาจราคะให้เกิดขึ้น ควรละหรือ?”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
ยานีมานิ
อปตฺถานิ
อลาพูเนว
สารเท
กาโปตกานิ
อฏฺฐีนิ
ตานิ
ทิสฺวาน กา รติ ฯ
กระดูกเหล่านี้ใด อันเขาทิ้งเกลื่อนกลาด
ดุจน้ำเต้าในสารทกาล มีสีเหมือนนกพิราบ
ความยินดีอะไรเล่าจักมี เพราะเห็นกระดูกเหล่านั้น.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุเหล่านั้นได้บรรลุอรหัตตผล ตามที่ยืนอยู่
ชมเชยพระผู้มีพระภาค มาถวายบังคมแล้ว.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น