วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

พุทธวรรค:01.เรื่องมารธิดา



01.เรื่องมารธิดา

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ที่โพธิมัณฑสถาน  ทรงปรารภธิดามาร  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  ยสฺส  ชิตํ  เป็นต้น

มาคันทิยพราหมณ์และนางพราหมณีผู้ภรรยา  อาศัยอยู่ในแคว้นกุรุ  สามีภรรยาคู่นี้มีธิดาคนหนึ่งชื่อนางมาคันทิยา  มีรูปร่างสวยงามมาก  นางมาคันทิยางดงามมากมากจนบิดาของนางบอกปัดหนุ่มทั้งหลายที่มาชอบพอ  โดยให้เหตุผลว่า พวกท่านไม่สมควรแก่ธิดาของข้าพเจ้าอยู่มาวันหนึ่ง  ในเวลาใกล้รุ่ง  พระศาสดา ทรงตรวจดูสัตวโลก  ทรงเห็นมาคันทิยพราหมณ์นั้น  เข้ามาอยู่ในข่ายคือพระญาณของพระองค์  ทรงตรวจสอบแล้วก็ทรงพบว่าทั้งมาคันทิยพราหมณ์และนางพราหมณีทั้งสองคนจะได้บรรลุมรรคและผลที่ 3  จึงทรงถือบาตรและจีวร เสด็จไปยังที่ซึ่งมาคันทิยพราหมณ์กำลังบูชาไฟ 

พราหมณ์ตรวจดูรูปลักษณ์ของพระศาสดา  ก็ทราบว่าไม่เหมือนผู้ใดในโลก และเป็นบุคคลที่สมควรจะเป็นคู่ครองของธิดาของตน  จึงกราบทูลพระศาสดาว่า  สมณะ  เรามีธิดาอยู่คนหนึ่ง  เรายังไม่เห็นบุรุษผู้สมควรแก่นาง  จึงไม่ได้ให้นางแก่ใครๆเลย  ส่วนท่านเป็นผู้สมควรแก่นาง  เราใคร่จะให้ธิดาแก่ท่าน  ให้เป็นหญิงบำเรอท่าน  ท่านจงรออยู่ ณ ที่นี้แหละ  จนกว่าเราจะนำธิดามา  พระศาสดา  ทรงสดับถ้อยคำของเขาแล้ว  ไม่ทรงแสดงความยินดี และทั้งไม่ทรงห้าม  พราหมณ์รีบเดินทางไปที่บ้านเพื่อพาภรรยาและธิดามา  พระศาสดาไม่ได้ประทับยืนอยู่ในที่ที่พราหมณ์บอกไว้  ได้แต่ประทับรอยพระบาทของพระองค์ไว้แล้ว ไปประทับยืนในที่อื่น  เมื่อพราหมณ์และครอบคัวมาถึง  ไม่พบพระศาสดา   พบแต่รอยพระบาทที่ทรงประทับไว้นั้น  นางพราหมณ์ก็ได้กล่าวกับพราหมณ์ว่า  รอยเท้านี้เป็นรอยเท้าของผู้หมดกิเลส  เมื่อพราหมณ์และนางพราหมณีไปพบตัวจริงของพระศาสดา  ข้างพราหมณ์จึงได้เสนอธิดาให้เป็นนางบำเรอ    พระศาสดา  ไม่ตรัสว่า  เราไม่ต้องการธิดาของท่าน  กลับตรัสว่า  พราหมณ์  เราจักบอกเหตุสักอย่างหนึ่งแก่ท่าน  ท่านจักฟังไหม?”    เมื่อพราหมณ์กราบทูลตอบรับ  พระศาสดาจึงทรงเล่าเรื่องที่ธิดามารมายั่วยวนพระองค์ในคราวที่ทรงตรัสรู้ใหม่ๆ  ซึ่งในครั้งนั้นพระองค์ได้ตรัสกับนางตัณหา  นางราคา  และนางอรดี  ธิดาทั้งสามของมารว่า  พวกเจ้าจงหลีกไป  พวกเจ้าเห็นอะไรจึงพยายามอย่างนี้ ? การทำแบบนี้ต่อหน้าพวกที่มีราคะถึงจะควร  ส่วนตถาคตละกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นได้แล้ว  พวกเจ้าจักนำเราไปในอำนาจของตน  ด้วยเหตุอะไรเล่า ?”

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  สองพระคาถานี้ว่า
ยสฺส  ชิตํ  นาวชิยติ
ชิตสฺส  โมยาติ  โกจิ  โลเก
ตํ  พุทฺธมนนฺตโคจรํ
อปทํ  เกน  ปเทน  เนสฺสถ ฯ

กิเลสมีราคะเป็นต้น
อันพระพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงชนะแล้ว
อันพระองค์ย่อมไม่กลับแพ้
ไม่มีกิเลสใดแม้หน่อยหนึ่งในโลก
ที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นยังชนะแล้วไม่ได้
พวกเจ้าจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด  ไม่มีร่องรอย
ไปด้วยร่องรอยอะไร ?

ยสฺส  ชาลินี  วิสตฺติกา
ตณฺหา  นตฺถิ  กุหิญฺจิ  เนตฺวา
ตํ  พุทฺธมนนฺตโคจรํ
อปทํ  เกน   ปเทน  เนสฺสถ ฯ

ตัณหาดุจข่ายซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ
ไม่มีแก่พระพุทธเจ้าพระองค์ใด
เพื่อนำไปในภพไหนๆ (ในวัฏฏสงสาร) 
พวกเจ้าจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด  ไม่มีร่องรอย  ไปด้วยร่องรอยอะไร ?

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  เทวดาเป็นจำนวนมากได้บรรลุธรรม  ธิดามารได้อันตรธานไปจากที่นั้นแล้ว.

พระศาสดาครั้นนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว  ได้ตรัสว่า  มาคันทิยะ  ในกาลก่อน  เราได้เห็นธิดามารทั้ง 3  เหล่านี้ผู้ประกอบด้วยอัตภาพเช่นกับแท่งทอง  ไม่แปดเปื้อนด้วยของโสโครกมีเสมหะเป็นต้น  แม้ในกาลนั้น  เราไม่ได้มีความพอใจในเมถุนเลย  ก็สรีระแห่งธิดาของท่าน  เต็มไปด้วยซากศพคืออาการ  32  เหมือนหม้อที่ใส่ของไม่สะอาด  อันตระการตา ณ ภายนอก  แม้ถ้าเท้าของเราพึงเป็นเท้าที่แปดเปื้อนด้วยของไม่สะอาดไซร้  และธิดาของท่านนี้พึงยืนอยู่ที่ธรณีประตู   ถึงอย่างนั้น  เราก็ไม่พึงถูกต้องสรีระของนางด้วยเท้า

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  สามีและภรรยาทั้งสอง  ได้บรรลุอนาคามิผล.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น