01.เรื่องมารธิดา
พระศาสดา
เมื่อประทับอยู่ที่โพธิมัณฑสถาน
ทรงปรารภธิดามาร
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ยสฺส ชิตํ
เป็นต้น
มาคันทิยพราหมณ์และนางพราหมณีผู้ภรรยา อาศัยอยู่ในแคว้นกุรุ
สามีภรรยาคู่นี้มีธิดาคนหนึ่งชื่อนางมาคันทิยา มีรูปร่างสวยงามมาก
นางมาคันทิยางดงามมากมากจนบิดาของนางบอกปัดหนุ่มทั้งหลายที่มาชอบพอ โดยให้เหตุผลว่า “พวกท่านไม่สมควรแก่ธิดาของข้าพเจ้า” อยู่มาวันหนึ่ง ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดา ทรงตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็นมาคันทิยพราหมณ์นั้น เข้ามาอยู่ในข่ายคือพระญาณของพระองค์
ทรงตรวจสอบแล้วก็ทรงพบว่าทั้งมาคันทิยพราหมณ์และนางพราหมณีทั้งสองคนจะได้บรรลุมรรคและผลที่
3 จึงทรงถือบาตรและจีวร
เสด็จไปยังที่ซึ่งมาคันทิยพราหมณ์กำลังบูชาไฟ
พราหมณ์ตรวจดูรูปลักษณ์ของพระศาสดา ก็ทราบว่าไม่เหมือนผู้ใดในโลก
และเป็นบุคคลที่สมควรจะเป็นคู่ครองของธิดาของตน
จึงกราบทูลพระศาสดาว่า “สมณะ เรามีธิดาอยู่คนหนึ่ง เรายังไม่เห็นบุรุษผู้สมควรแก่นาง จึงไม่ได้ให้นางแก่ใครๆเลย ส่วนท่านเป็นผู้สมควรแก่นาง เราใคร่จะให้ธิดาแก่ท่าน ให้เป็นหญิงบำเรอท่าน ท่านจงรออยู่ ณ ที่นี้แหละ จนกว่าเราจะนำธิดามา”
พระศาสดา
ทรงสดับถ้อยคำของเขาแล้ว
ไม่ทรงแสดงความยินดี และทั้งไม่ทรงห้าม
พราหมณ์รีบเดินทางไปที่บ้านเพื่อพาภรรยาและธิดามา พระศาสดาไม่ได้ประทับยืนอยู่ในที่ที่พราหมณ์บอกไว้ ได้แต่ประทับรอยพระบาทของพระองค์ไว้แล้ว
ไปประทับยืนในที่อื่น
เมื่อพราหมณ์และครอบคัวมาถึง
ไม่พบพระศาสดา
พบแต่รอยพระบาทที่ทรงประทับไว้นั้น
นางพราหมณ์ก็ได้กล่าวกับพราหมณ์ว่า
รอยเท้านี้เป็นรอยเท้าของผู้หมดกิเลส
เมื่อพราหมณ์และนางพราหมณีไปพบตัวจริงของพระศาสดา ข้างพราหมณ์จึงได้เสนอธิดาให้เป็นนางบำเรอ พระศาสดา
ไม่ตรัสว่า “เราไม่ต้องการธิดาของท่าน”
กลับตรัสว่า
“พราหมณ์ เราจักบอกเหตุสักอย่างหนึ่งแก่ท่าน ท่านจักฟังไหม?” เมื่อพราหมณ์กราบทูลตอบรับ พระศาสดาจึงทรงเล่าเรื่องที่ธิดามารมายั่วยวนพระองค์ในคราวที่ทรงตรัสรู้ใหม่ๆ ซึ่งในครั้งนั้นพระองค์ได้ตรัสกับนางตัณหา นางราคา
และนางอรดี
ธิดาทั้งสามของมารว่า “พวกเจ้าจงหลีกไป พวกเจ้าเห็นอะไรจึงพยายามอย่างนี้ ? การทำแบบนี้ต่อหน้าพวกที่มีราคะถึงจะควร ส่วนตถาคตละกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นได้แล้ว พวกเจ้าจักนำเราไปในอำนาจของตน ด้วยเหตุอะไรเล่า ?”
จากนั้น
พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท
สองพระคาถานี้ว่า
ยสฺส
ชิตํ นาวชิยติ
ชิตสฺส
โมยาติ โกจิ โลเก
ตํ
พุทฺธมนนฺตโคจรํ
อปทํ
เกน ปเทน เนสฺสถ ฯ
กิเลสมีราคะเป็นต้น
อันพระพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงชนะแล้ว
อันพระองค์ย่อมไม่กลับแพ้
ไม่มีกิเลสใดแม้หน่อยหนึ่งในโลก
ที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นยังชนะแล้วไม่ได้
พวกเจ้าจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ไม่มีร่องรอย
ไปด้วยร่องรอยอะไร ?
ยสฺส
ชาลินี วิสตฺติกา
ตณฺหา
นตฺถิ กุหิญฺจิ เนตฺวา
ตํ
พุทฺธมนนฺตโคจรํ
อปทํ
เกน ปเทน เนสฺสถ ฯ
ตัณหาดุจข่ายซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ
ไม่มีแก่พระพุทธเจ้าพระองค์ใด
เพื่อนำไปในภพไหนๆ (ในวัฏฏสงสาร)
พวกเจ้าจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ไม่มีร่องรอย ไปด้วยร่องรอยอะไร ?
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง เทวดาเป็นจำนวนมากได้บรรลุธรรม ธิดามารได้อันตรธานไปจากที่นั้นแล้ว.
พระศาสดาครั้นนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ได้ตรัสว่า
“มาคันทิยะ ในกาลก่อน
เราได้เห็นธิดามารทั้ง 3
เหล่านี้ผู้ประกอบด้วยอัตภาพเช่นกับแท่งทอง ไม่แปดเปื้อนด้วยของโสโครกมีเสมหะเป็นต้น แม้ในกาลนั้น
เราไม่ได้มีความพอใจในเมถุนเลย
ก็สรีระแห่งธิดาของท่าน
เต็มไปด้วยซากศพคืออาการ 32 เหมือนหม้อที่ใส่ของไม่สะอาด อันตระการตา ณ ภายนอก แม้ถ้าเท้าของเราพึงเป็นเท้าที่แปดเปื้อนด้วยของไม่สะอาดไซร้ และธิดาของท่านนี้พึงยืนอยู่ที่ธรณีประตู ถึงอย่างนั้น
เราก็ไม่พึงถูกต้องสรีระของนางด้วยเท้า”
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง สามีและภรรยาทั้งสอง ได้บรรลุอนาคามิผล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น