03.เรื่องนาคราชชื่อเอรกปัตต์
พระศาสดา
ทรงอาศัยพระนครพาราณสี
ประทับอยู่ที่โคนไม้ซึก 7 ต้น
ทรงปรารภพระยานาคชื่อเอรกปัตต์
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ เป็นต้น
ในกาลครั้งหนึ่ง มีพระยานาคราชนามว่า เอรกปัตต์ ในอดีตชาติ
ในศาสนาของพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระยานาคนั้นเป็นภิกษุหนุ่ม
ขึ้นเรือไปในแม่น้ำคงคา
เอามือยึดตะไคร้น้ำกอหนึ่ง
เมื่อเรือแล่นไปโดยเร็วก็ไม่ปล่อย
ใบตระไคร้น้ำขาด
ภิกษุนั้นไม่แสดงอาบัติ
ด้วยคิดเสียว่าเป็นโทษเพียงเล็กน้อย
เมื่อจุติจากชาตินั้นแล้ว
บังเกิดเป็นพระยานาค
มีร่างกายเท่าเรือขุด เมื่อมาเกิดเป็นพระยานาคแล้ว ก็ได้รอคอยการอุบัติขึ้นของพระพระพุทธเจ้า
พระยานาคเอรกปัตต์มีธิดารูปโฉมงดงามมากอยู่นางหนึ่ง จึงได้ใช้นางเป็นเครื่องมือในการค้นหาพระพุทธเจ้า โดยพระยานาคได้ป่าวประกาศว่า ผู้ใดก็ตามสามารถตอบคำถามธิดาของตนได้
ผู้นั้นก็จะได้ธิดาของตนเป็นภรรยา
ในทุกเดือนๆละสองครั้ง
พระยานาคจะให้ธิดายืนบนพังพานของตนในวันอุโบสถทุกกึ่งเดือน ร้องขับขานเพลงซึ่งมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า “ผู้เป็นใหญ่อย่างไรเล่า ชื่อว่าพระราชา อย่างไรเล่า
พระราชาชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร
อย่างไรเล่า ชื่อว่าปราศจากธุลี อย่างไรเล่า ท่านจึงเรียกว่า คนพาล.” มีชายหนุ่มหลายคนเข้ามาตอบคำถามโดยหวังจะได้ธิดาพระยานาคเป็นภรรยา แต่ก็ไม่มีชายหนุ่มผู้ใดสามารถตอบถูก
วันหนึ่ง
ในเวลาใกล้รุ่ง
พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นชายหนุ่มชื่อว่าอุตตระ
เข้ามาอยู่ในข่ายคือพระญาณของพระองค์
ทรงตรวจสอบแล้วทราบว่า
อุตตรมาณพจักได้บรรลุโสดาปัตติผล
ซึ่งโยงใยไปถึงปัญหาที่ธิดาของพระยานาคราชเอรกปัตต์ถาม ในช่วงนั้น
อุตตรมาณพอยู่ในระหว่างเดินทางจะไปตอบคำถามของธิดาพระยานาค
พระศาสดาจึงได้ทรงสอนเนื้อเพลงลำนำที่จะนำไปขับขานตอบคำถามของธิดาพระยานาคให้ ซึ่งมีเนื้อเพลงตอบโต้ตอนหนึ่งว่า “ ผู้เป็นใหญ่ในทวารหก ชื่อว่าเป็นพระราชา พระราชาผู้กำหนัดอยู่ ชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร ผู้ไม่กำหนัดอยู่ ชื่อว่าปราศจากธุลี ผู้กำหนัดอยู่
ท่านเรียกว่า คนพาล”
พระศาสดาก็ยังได้ทรงสอนบทเพลงอื่นๆที่จะใช้ขับขานตอบโต้กับเพลงของธิดาพระยานาคราชอีกหลายบท
ขณะที่อุตตรมาณพเรียนเพลงขับขานตอบโต้เพลงของธิดาของพระยาเนาคอยู่นั้น ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล
แม้ว่าจะบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว แต่อุตตรมาณพก็ยังต้องการเดินทางไปตอบคำถามของธิดาพระยานาคเหมือนเดิม
เมื่อธิดาพระยานาคร้องขับขานเพลงดังขึ้น
อุตตรมาณพก็ได้ร้องขับขานโต้ตอบด้วยบทเพลงแต่ละท่อนที่เล่าเรียนมาจากพระศาสดาดังนี้
1. คำถาม
: ผู้เป็นใหญ่ อย่างไรเล่า
ชื่อว่าเป็นพระราชา
คำตอบ : ผู้เป็นใหญ่ในทวาร 6
ชื่อว่าเป็นพระราชา
2. คำถาม
: อย่างไรเล่า
พระราชาชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร
คำตอบ :
พระราชาผู้กำหนัดอยู่
ชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร
3.คำถาม
: อย่างไรเล่า ชื่อว่าปราศจากธุลี
คำตอบ :
ผู้ไม่กำหนัดอยู่ชื่อว่า
ปราศจากธุลี
4. คำถาม : อย่างไรเล่า ท่านจึงเรียกว่า คนพาล
คำตอบ : ผู้กำหนัดอยู่ ท่านเรียกว่า
คนพาล
5. คำถาม
: คนพาลอันอะไรเอ่ย ย่อมพัดไป
คำตอบ : คนพาลอันห้วงน้ำ(คือกามโอฆะเป็นต้น)
ย่อมพัดไป
6.คำถาม
: บัณฑิตย่อมบรรเทาอย่างไร
คำตอบ : บัณฑิตย่อมบรรเทา(โอฆะนั้น) เสียด้วยความเพียร
7.คำถาม
: อย่างไร จึงเป็นผู้มีความเกษมจากโยคะ
คำตอบ
: บัณฑิตผู้ไม่ประกอบด้วยโยคะทั้งปวง
ท่านเรียกว่า ผู้มีเกษมจากโยคะ
เมื่อพระยานาคเอรกปัตต์ ได้ฟังคำตอบเช่นนั้น
ก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นในโลกแล้ว จึงได้ไปขอให้อุตตรมาณพพาตนไปเฝ้าพระศาสดา
และเมื่อได้เข้าเฝ้าแล้วได้กราบทูลพระศาสดา ถึงครั้งที่ตนเป็นพระภิกษุในพระศาสนาของพระกัสสปะพุทธเจ้า ดึงใบตะไคร้ขาด ไม่ยอมแสดงอาบัติ ทำให้ต้องมาเกิดเป็นพระยานาค
และตั้งตารอคอยการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า พระศาสดา
ทรงสดับถ้อยคำของนาคราชนั้นแล้วจึงตรัสว่า
“มหาบพิตร ชื่อว่าความเป็นมนุษย์ หาได้ยากนัก
การฟังพระสัทธรรม ก็หาได้ยาก การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า ก็หาได้ยากเหมือนกัน เพราะว่าทั้ง 3 อย่างนี้
บุคคลย่อมได้ลำบากยากเย็น”
จากนั้น
พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท
พระคาถานี้ว่า
กิจฺเฉน
มนุสฺสปฺปฏิลาโภ
กิจฉํ
มจฺจานชีวิตํ
กิจฺฉํ
สทฺธมฺมสฺสวนํ
กิจฺโฉ
พุทฺธานมุปฺปาโท ฯ
ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นการยาก
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย เป็นอยู่ยาก
การฟังพระสัทธรรม เป็นของยาก
การที่อุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เป็นการยาก.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง เหล่าสัตว์
8 หมื่น 4
พัน ได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว. ฝ่ายนาคราชน่าจะได้โสดาปัตติผลในวันนั้น
แต่ก็ไม่ได้เพราะเป็นสัตว์ดิรัจฉาน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น