13. เรื่องสัฏฐิกูฏเปรต
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภสัฏฐิกูฏเปรต ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 72
นี้
พระมหาโมคคัลลานเถระ ลงจากภูเขาคิชฌกูฏ พร้อมกับพระลักขณเถระ เห็นเปรตตัวใหญ่โตมาก ขณะจะไป
บิณฑบาต ได้กระทำการยิ้มแย้มแต่ไม่ได้พูดอะไร พอกลับจากบิณฑบาตเข้าไปในวัดพระเวฬุวัน
ได้กราบทูลเรื่องนี้แด่พระศาสดา
พระศาสดาตรัสว่า สัฏฐิกูฏเปรตนี้ในอดีตชาติ
เป็นบุรุษเปลี้ยผู้ชำนาญในการดีดก้อนกรวด
วันหนึ่งเขาได้ขออนุญาตจากอาจารย์ทำการทดลองความแม่นยำของการดีดก้อนกรวด อาจารย์บอกว่าจะต้องไม่ทดลองกับโคหรือกับมนุษย์
เพราะหากโคหรือมนุษย์ตายจะต้องจ่ายสินไหมให้แก่เจ้าของโคหรือญาติของผู้ตาย
แต่จะต้องหาเป้าที่เป็นคนที่ไม่มีมีมารดาบิดาเท่านั้น
บุรุษเปลี้ยมาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
ชื่อว่าสุเนตตะ ซึ่งกำลังออกเดินบิณฑบาต จึงคิดจะใช้ท่านเป็นเป้าสำหรับดีดกรวด
โดยมีความคิดว่า “พระปัจเจกพุทธเจ้านี้ เป็นผู้ไม่มีมารดาบิดา
เมื่อเราดีดผู้นี้ ไม่ต้องมีสินไหม
เราจักดีดพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ ทดลองศิลปะ” ก้อนกรวดที่บุรุษเปลี้ยดีดไปเข้าทางช่องหูขวาไปทะลุออกทางช่องหูซ้าย พระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อโดนดีดด้วยกรวด ได้รับบาดเจ็บเดินบิณฑบาตต่อไปไม่ได้
ได้เหาะกลับไปปรินิพพาน(เสียชีวิต)ที่บรรณศาลา
ต่อมาเมื่อชาวบ้านมาพบว่าบุรุษเปลี้ยเป็นผู้สังหารพระปัจเจกพุทธเจ้า
ก็ได้ช่วยกันเอาก้อนหินขว้างปาจนถึงแก่ความตาย และเขาไปเกิดในมหานรกชั้นอเวจี เมื่อไปหมกไหม้อยู่ในนรกชั้นนี้จนแผ่นดินโลกมนุษย์หนาขึ้นโยชน์หนึ่ง
จึงได้มาเสวยเศษกรรมที่เหลือ โดยมาเกิดเป็นสัฏฐิกูฏเปรต ที่ยอดเขาคิชฌกูฏ
ที่พระมหาโมคคัลลานะแลเห็นดังกล่าว โดยที่ศีรษะของเปรตตนนี้ถูกค้อนเหล็กเผาไฟจนแดง
6 หมื่นอันตีกระหน่ำอยู่อย่างต่อเนื่อง
พระศาสดาครั้นนำบุรพกรรมของเปรตนี้มาแสดงแล้ว
ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย
คนพาลได้ศิลปะหรือความรู้มาแล้ว ย่อมทำความฉิบฉายแก่ตนถ่ายเดียว”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 72
ว่า
ยาวเทว อนตฺถาย
ญตฺตํ พาลสฺสส ชายติ
หนฺติ พาลสฺสส สุกฺกํสํ
มุทฺธมสฺส วิปาตยํฯ
ความรู้ย่อมเกิดแก่คนพาล
เพียงเพื่อความฉิบหายเท่านั้น
ความรู้นั้น ยังหัวคิดของเขาให้ตกไป
ย่อมฆ่าส่วนสุกกธรรมของคนพาลเสีย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น