05. เรื่องโกสิยเศรษฐีผู้มีความตระหนี่
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภเศรษฐีชื่อโกสิยะผู้มีความตระหนี่ ได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 49
นี้
ในหมู่บ้านสักกระ ใกล้กรุงราชคฤห์ มีเศรษฐีตระหนี่ผู้หนึ่งชื่อ โกสิยะ โกสิยเศรษฐีแม้จะมีสมบัติมากถึง 80
โกฏิ แต่ก็ไม่เคยให้สิ่งใดของตนแก่ใครๆเลย
วันหนึ่งเศรษฐีหิวขนมเบื้องมาก
แต่ไม่ต้องการจะแบ่งปันขนมเบื้องนี้ให้แก่ใคร
จึงชวนภรรยาขึ้นไปทำขนมเบื้องนี้อยู่บนชั้นบนสุดของปราสาท 7
ชั้น ที่ซึ่งไม่มีผู้ใดจะสามารถไปเห็นได้
เช้าในวันนั้น
พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์ที่จะได้รับการทรงโปรดด้วยพระญาณพิเศษ
ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเศรษฐีและภรรยามาปรากฏอยู่ในข่ายคือพระญาณของพระองค์
และทรงทราบว่าทั้งสองคนจะได้บรรลุพระโสดาปัตติผล
ดังนั้นพระศาสดาจึงได้ทรงส่งพระมหาโมคคัลลานเถระไปยังบ้านของเศรษฐี ด้วยพระดำรัสสั่งว่า
ให้ทรมานคนทั้งสองให้หายตระหนี่ แล้วพาคนทั้งสองมายังวัดพระเชตวัน
ให้ทันเวลาฉันภัตตาหารกลางวัน
พระมหาโมคคัลลานะได้ไปที่นั่นด้วยกำลังแห่งฤทธิ์
เมื่อไปถึงแล้วก็ได้ไปยืนอยู่ที่ข้างหน้าต่างปราสาท เศรษฐีเมื่อเห็นพระเถระก็ได้ขอร้องให้ท่านออกกลับไปเสีย
แต่พระเถระได้ยืนนิ่งอยู่ที่นั่นโดยไม่พูดไม่จาอะไร
ในที่สุดเศรษฐีได้บอกกับภรรยาว่า “เธอจงทำขมเบื้องชิ้นเล็กๆ
ถวายท่านไป” ดังนั้นภรรยาเศรษฐีจึงเอาทัพพีตักแป้งแค่นิดเดียวทอดลงไปในกระทะ
แต่ขนมกลับขยายตัวจากชิ้นเล็กๆเป็นแผ่นใหญ่จนเต็มกระทะ เศรษฐีคิดว่าภรรยาคงใส่แป้งไปทอดมากขึ้นจึงใหญ่ขนาดนั้น
เศรษฐีจึงเอาทัพพีตักแป้งเพียงนิดเดียวทอดลงไปในกระทะ
แต่ขนมเบื้องนั้นก็ยังมีขนาดใหญ่เหมือนเดิม
แม้ว่าคนทั้งสองจะพยายามทำให้ขนมเบื้องให้เล็กลงอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ
ในที่สุดเศรษฐีได้ให้ภรรยานำขนมเบื้องชิ้นหนึ่งจากตะกร้าถวายพระเถระ
แต่ก็ไม่สามารถดึงออกมาได้เพราะขนมเบื้องทุกชิ้นติดกันหมด
ไม่สามารถแยกออกจากกันได้
พอถึงช่วงนี้เศรษฐีหมดความหิวจึงได้ยกขนมเบื้องทั้งตะกร้าถวายพระเถระ พระเถระจึงได้แสดงธรรมแก่คนทั้งสอง
โดยกล่าวถึงคุณของพระรัตนตรัยและอานิสงส์ของทาน
จากนั้นก็ได้บอกกับคนทั้งสองด้วยว่า พระศาสดา
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวน 500 รูปกำลังรออยู่ที่วัดพระเชตวัน
ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงราชคฤห์ถึง 45 โยชน์
แต่พระเถระได้ใช้กำลังฤทธิ์พาเศรษฐีและภรรยาที่ในมือถือตะกร้าขนมเบื้องมาเฝ้าพระศาสดา คนทั้งสองได้นำตะกร้าขนมเบื้องทูลถวายพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ทั้ง
500 รูป
เมื่อทรงฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว
พระศาสดาได้แสดงพระธรรมเทศนาว่าด้วยอานิสงส์ของทาน
เมื่อจบพระธรรมเทศนาทั้งเศรษฐีและภรรยาก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล
ในเวลาเย็นวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุประชุมกันในโรงธรรม
นั่งกล่าวยกย่องพระมหาโมคคัลลานเถระอยู่
พระศาสดาได้เสด็จมา เมื่อได้สดับคำสนทนานั้นแล้วได้ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ถึงพวกเธอก็เช่นเดียวกัน จงเที่ยวไปในหมู่บ้านเหมือนกับโมคคลัลลานะ คือรับทานจากชาวบ้าน โดยไม่กระทบกระทั่งศรัทธา
ไม่กระทบกระทั่งโภคะ ไม่ให้สกุลชอกช้ำ ไม่เบียดเบียนสกุล เป็นดุจแมลงภู่เคล้าละอองจากดอกไม้โดยไม่ให้ดอกไม้ชอกช้ำ
ฉะนั้น”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 49ว่า
ยถาปิ ภมโร บุปฺผํ
วณฺณคนฺธํ อเหฐยํ
ปเลติ รสมาทาย
เอวํ คาเม มุนี จเรฯ
แมลงผึ้งไม่ทำลายดอกไม้
สีและกลิ่นให้ชอกช้ำ
นำเอารสหวานแล้วโบยบินไป ฉันใด
มุนี(พระ) ก็พึงเที่ยวไปในบ้าน ฉันนั้น.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก
ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย
มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น