วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ยมกวรรค:06เรื่องมหากาลเถระ



 06เรื่องมหากาลเถระ

เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่ใกล้เมืองตัพยะ  ทรงปรารภมหากาลและจุลกาลซึ่งเป็นพี่น้องกันที่อยู่เมืองเสตัพยะ ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 7 และที่

ครั้งหนึ่งทั้งมหากาลและจุลกาลเมื่อเดินทางไปค้าขายได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาจากพระศาสดา  หลังจากสดับพระสัทธรรมเทศนาแล้ว ฝ่ายมหากาลได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทจากพระศาสดา  ส่วนจุลกาลก็ได้บรรพชาอุปสมบทเหมือนกัน แต่เป็นการบวชเพียงเพื่อจะสึกแล้วชวนให้พี่ชายสึกตามไปด้วยเท่านั้นเอง

มหากาลมีความตั้งใจในการปฏิบัติสมณธรรมมาก  ได้ไปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าช้าตามแบบ โสสาสนิกธุดงค์  และพิจารณาถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอัตตา จนในที่สุดได้บรรลุความรู้แจ้งเห็นจริงได้เป็นพระอรหันต์
ต่อมาพระศาสดาและสาวกทั้งหลายรวมทั้งภิกษุมหากาลและจุลกาลนี้ด้วย ได้เข้าไปอยู่ในป่าสิงสปะใกล้เมืองเสตัพยะ  ในช่วงนั้นเองพวกอดีตภรรยาของพระจุลกาลได้อาราธนาพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสาวกทั้งหลายไปที่บ้านของพวกตน  พระจุลกาลได้เดินทางล่วงหน้าไปที่บ้านภรรยาเพื่อตระเตรียมปูอาสนะที่ประทับสำหรับพระศาสดาและสาวกทั้งหลาย  พอพระจุลกาลเดินทางไปถึงที่บ้านพวกภรรยาก็ได้บังคับให้พระจุลกาลสึกโดยเปลี่ยนชุดแต่งกายจากผ้ากาสาวพัสตร์มาเป็นชุดคฤหัสถ์

ในวันรุ่งขึ้น พวกอดีตภรรยาของพระมหากาลได้อาราธนาพระศาสดาและพระสงฆ์สาวกไปที่บ้านของพวกตนบ้าง โดยมีวัตถุประสงค์จะทำการสึกพระมหากาลอย่างเดียวกับที่ภรรยาของอดีตพระจุลกาลเคยทำกับพระจุลกาล  หลังจากเสร็จสิ้นถวายภัตตาหาร พวกอดีตภรรยาของพระมหากาลได้ทูลพระศาสดาขอให้พระมหากาลอยู่ก่อนเพื่อจะได้ กล่าวอนุโมทนาดังนั้นพระศาสดาและพระสงฆ์สาวกทั้งหลายจึงได้กลับคืนสู่วิหาร

หลังจากที่เดินทางมาถึงประตูหมู่บ้านพวกภิกษุทั้งหลายได้แสดงความไม่พอใจและหวาดวิตก  ที่พวกภิกษุเหล่านี้ไม่พอใจเพราะพระมหากาลได้รับพุทธานุญาตให้อยู่ที่บ้านอดีตภรรยาแต่โดยลำพัง ซึ่งเป็นที่น่าหวาดกลัวว่าจะเป็นเหมือนกรณีที่เกิดขึ้นกับพระจุลกาลพระน้องชาย คือจะถูกอดีตภรรยาจับสึกนั่นเอง  พระศาสดาตรัสว่าพระสองพี่น้องนี้ไม่เหมือนกัน คือ พระจุลกาลหมกมุ่นในกามคุณ มีความเกียจคร้านและอ่อนแอ ราวกับต้นไม้ที่ไม่แข็งแรง  ตรงกันข้ามมหากาลมีความบากบั่นขยันหมั่นเพียรมีจิตในเด็ดเดี่ยวและมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์  มีลักษะเหมือนเหมือนภูเขาศิลาล้วน

จากนั้นพระศาสดาตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 7 และที่ 8 ดังนี้

สุภานุปสฺสึ  วิหรนฺตํ
อินฺทริสุ อสํวุตํ
โภชนมฺหิ อมตฺตญญุ
กุสีตํ หีนวีริยํ
ตํ เว ปสหตี มาโร
วาโต รุกขํ ว ทุพพลํฯ

ผู้ตกเป็นทาสของความสวยงาม
ไม่ควบคุมอินทรีย์ทั้งหลาย
ไม่รู้จักประมาณในโภชนาหาร
เกียจคร้าน ขาดความบากบั่น
มารย่อมกำจัดเขาได้
เหมือนลมพัดพาต้นไม้ที่ไม่แข็งแรงได้ฉะนั้นฯ

อสุภานุปสฺสึ  วิหรนฺตํ
อินฺทริสุ สุสํวุตํ
โภชนมฺหิ มตฺตญญํง
สทฺธํ อารทฺธวีริยํ
ตํ เว นปฺปสหตี มาโร
วาโต เสสํว ปพฺพตํฯ

ผู้ไม่ตกเป็นทาสของความสวยงาม
ควบคุมอินทรีย์ทั้งหลายได้
รู้จักประมาณในโภชนาหาร
มีศรัทธา ขยันหมั่นเพียร
มารย่อมกำจัดเขาไม่ได้
เหมือนลมพัดพาภูเขาศิลาล้วนไม่ได้ฉะนั้นฯ

ในขณะพวกอดีตภรรยาของพระมหากาลกำลังจะมาช่วยกันเปลื้องสบงจีวรออกจากร่างของพระมหากาลอยู่นั้นเอง  พระเถระรู้ทันในวัตถุประสงค์ของอดีตภรรยา  จึงได้รีบลุกขึ้นยืนแล้วเหาะทะยานทะลุทะลวงผ่านหลังคาบ้านขึ้นสู่อากาศด้วยกำลังแห่งฤทธิ์  แล้วเหาะไปลงที่แทบพระบาทของพระศาสดาในช่วงพอดีกับที่พระศาสดาตรัสพระธรรมบททั้ง 2 พระคาถาข้างต้นจบลง ในขณะเดียวกันนั้น พระภิกษุสงฆ์ที่มาประชุมกันอยู่นั้นก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล.

1 ความคิดเห็น: