วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ยมกวรรค:07เรื่องพระเทวทัต



07เรื่องพระเทวทัต

เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี  ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 9 และ ที่ 10 นี้

ครั้งหนึ่งพระอัครสวกทั้งสอง คือ พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเดินทางจากกรุงสาวัตถึไปที่กรุงราชคฤห์  ณ ที่นั้นประชาชนชาวกรุงราชคฤห์ได้นิมนต์พระอัครสาวกทั้งสองและพระภิกษุบริวารของท่านจำนวนหนึ่งพันรูปไปฉันภัตตาหารเช้า  ในโอกาสนี้เองมีอุบาสกคนหนึ่งถวายผ้ามีมูลค่าหนึ่งแสนกหาปณะให้แก่พวกคนที่ดำเนินการในพิธีถวายภัตตาหารในครั้งนี้  โดยแนะนำพวกเขาว่าควรจะนำผ้านี้ขายแล้วเอาเงินที่ได้จากการขายผ้านี้ไปเป็นค่าใช้จ่าย แต่ถ้าหากไม่ขาดแคนเงินก็ให้นำผ้าผืนนี้ถวายพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งตามแต่จะเห็นสมควร  การณ์ปรากฏว่าไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนเงินและจะต้องนำผ้าไปถวายแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง   เนื่องจากว่าพระอัครสาวกทั้งสองไปที่กรุงราชคฤห์เป็นครั้งคราว ส่วนพระเทวทัตเป็นพระที่อยู่เมืองนี้เป็นประจำ  ชาวเมืองจึงถวายผ้าผืนนี้แก่พระเทวทัต

พระเทวทัตรีบนำผ้ามีมูลค่ามากนั้นมาทำเป็นจีวรห่มในทันที  เมื่อพระภิกษุรูปหนึ่งเดินทางจากกรุงราชคฤห์มาที่กรุงสาวัตถีเพื่อเฝ้าพระศาสดา และได้กราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบ  พระศาสดาตรัสว่า มิใช่ครั้งแรกที่พระเทวทัตห่มจีวรที่ตนไม่สมควรจะห่ม และพระศาสดาได้นำเรื่องอดีตมาแสดงว่า

พระเทวทัตเป็นพรานล่าช้างในอดีตชาติหนึ่ง  ครั้งนั้นมีช้างจำนวนมากอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง  วันหนึ่งนายพรานนั้นสังเกตเห็นพวกช้างคุกเข่าทำความเคารพพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายที่พวกตนพบเห็น  เมื่อสังเกตเห็นเช่นนี้แล้วนายพรานล่าช้างนั้นก็ได้ไปขโมยจีวรสีเหลืองของพระปัจเจกพุทธเจ้ามาคลุมกายของตนเอง จากนั้นก็ได้ถือหอกไปคอยพวกช้างอยู่ในเส้นทางสัญจรปกติของพวกช้าง  เมื่อพวกช้างมาถึงเห็นนายพรานเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็คุกเข่าลงทำความเคารพเช่นเคย  นายพรานช้างก็ได้ถือโอกาสใช้หอกซัดฆ่าช้างตัวที่อยู่ท้ายสุด และได้กระทำเช่นนี้เรื่อยมาเป็นเวลาหลายวัน

พระโพธิสัตว์เป็นพระยาช้างโขลงนั้น   สังเกตเห็นว่าช้างบริวารลดจำนวนลงจึงได้ตัดสินใจหาสาเหตุโดยให้ช้างบริวารเดินนำหน้าส่วนพระยาช้างเองเดินตามหลัง  พระโพธิสัตว์คอยระวังอยู่ตลอดเวลา  เมื่อนายพรานพุ่งหอกมาก็สามารถหลบหลีกได้ทัน แล้ววิ่งไปใช้งวงรวบนายพรานช้างกำลังจะฟาดตัวลงที่พื้นดิน แต่เผอิญมองเห็นผ้ากาสาวพัสตร์ที่นายพรานช้างนำมาใช้คลุมกายไว้ จึงยับยั้งใจไว้ชีวิตแก่นายพรานช้าง

นายพรานถูกตำหนิที่พยายามฆ่าผู้อื่นโดยใช้ผ้ากาสาวพัสตร์มาคลุมกาย และกระทำในสิ่งชั่วช้าเช่นนี้  นายพรานไม่ควรที่จะนำผ้ากาสาวพัสตร์ที่เป็นเครื่องนุ่งห่มของผู้หมดกิเลสมานุ่งห่ม

จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 9 และที่ 10 ว่า
อนิกฺสาโว กาสาวํ
โย วตฺถํ  ปริหเหสฺสติ
อเปโต ทมสจฺเจน
น โส กาสาวมหรติฯ

คนกิเลสหนา ปราศจากการบังคับตัวเอง
ไร้สัจจะ ไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์

โย จ วนฺตกสาววสฺส
สีเลน สุสมาหิโต
อุเปโต ทมสจฺเจน
น โส กาสาวมหรติฯ

คนหมดกิเลส มั่นคงในศีล
มีสัจจะ ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุผู้อยู่ในทิศต่างๆเบรรลุเป็นพระโสดาบัน  ภิกษุเหล่าอื่นบรรลุโสดาปัตติผลเป็นต้น พระธรรมเทศนามีประโยชน์แก่มหาชน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น