07เรื่องพระเทวทัต
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน
กรุงสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัต
ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 9 และ ที่ 10
นี้
ครั้งหนึ่งพระอัครสวกทั้งสอง คือ
พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเดินทางจากกรุงสาวัตถึไปที่กรุงราชคฤห์ ณ ที่นั้นประชาชนชาวกรุงราชคฤห์ได้นิมนต์พระอัครสาวกทั้งสองและพระภิกษุบริวารของท่านจำนวนหนึ่งพันรูปไปฉันภัตตาหารเช้า
ในโอกาสนี้เองมีอุบาสกคนหนึ่งถวายผ้ามีมูลค่าหนึ่งแสนกหาปณะให้แก่พวกคนที่ดำเนินการในพิธีถวายภัตตาหารในครั้งนี้ โดยแนะนำพวกเขาว่าควรจะนำผ้านี้ขายแล้วเอาเงินที่ได้จากการขายผ้านี้ไปเป็นค่าใช้จ่าย
แต่ถ้าหากไม่ขาดแคนเงินก็ให้นำผ้าผืนนี้ถวายพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งตามแต่จะเห็นสมควร
การณ์ปรากฏว่าไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนเงินและจะต้องนำผ้าไปถวายแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เนื่องจากว่าพระอัครสาวกทั้งสองไปที่กรุงราชคฤห์เป็นครั้งคราว
ส่วนพระเทวทัตเป็นพระที่อยู่เมืองนี้เป็นประจำ
ชาวเมืองจึงถวายผ้าผืนนี้แก่พระเทวทัต
พระเทวทัตรีบนำผ้ามีมูลค่ามากนั้นมาทำเป็นจีวรห่มในทันที
เมื่อพระภิกษุรูปหนึ่งเดินทางจากกรุงราชคฤห์มาที่กรุงสาวัตถีเพื่อเฝ้าพระศาสดา
และได้กราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบ
พระศาสดาตรัสว่า มิใช่ครั้งแรกที่พระเทวทัตห่มจีวรที่ตนไม่สมควรจะห่ม
และพระศาสดาได้นำเรื่องอดีตมาแสดงว่า
พระเทวทัตเป็นพรานล่าช้างในอดีตชาติหนึ่ง
ครั้งนั้นมีช้างจำนวนมากอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง
วันหนึ่งนายพรานนั้นสังเกตเห็นพวกช้างคุกเข่าทำความเคารพพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายที่พวกตนพบเห็น
เมื่อสังเกตเห็นเช่นนี้แล้วนายพรานล่าช้างนั้นก็ได้ไปขโมยจีวรสีเหลืองของพระปัจเจกพุทธเจ้ามาคลุมกายของตนเอง
จากนั้นก็ได้ถือหอกไปคอยพวกช้างอยู่ในเส้นทางสัญจรปกติของพวกช้าง เมื่อพวกช้างมาถึงเห็นนายพรานเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็คุกเข่าลงทำความเคารพเช่นเคย
นายพรานช้างก็ได้ถือโอกาสใช้หอกซัดฆ่าช้างตัวที่อยู่ท้ายสุด
และได้กระทำเช่นนี้เรื่อยมาเป็นเวลาหลายวัน
พระโพธิสัตว์เป็นพระยาช้างโขลงนั้น
สังเกตเห็นว่าช้างบริวารลดจำนวนลงจึงได้ตัดสินใจหาสาเหตุโดยให้ช้างบริวารเดินนำหน้าส่วนพระยาช้างเองเดินตามหลัง พระโพธิสัตว์คอยระวังอยู่ตลอดเวลา เมื่อนายพรานพุ่งหอกมาก็สามารถหลบหลีกได้ทัน
แล้ววิ่งไปใช้งวงรวบนายพรานช้างกำลังจะฟาดตัวลงที่พื้นดิน แต่เผอิญมองเห็นผ้ากาสาวพัสตร์ที่นายพรานช้างนำมาใช้คลุมกายไว้
จึงยับยั้งใจไว้ชีวิตแก่นายพรานช้าง
นายพรานถูกตำหนิที่พยายามฆ่าผู้อื่นโดยใช้ผ้ากาสาวพัสตร์มาคลุมกาย
และกระทำในสิ่งชั่วช้าเช่นนี้
นายพรานไม่ควรที่จะนำผ้ากาสาวพัสตร์ที่เป็นเครื่องนุ่งห่มของผู้หมดกิเลสมานุ่งห่ม
จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 9
และที่ 10 ว่า
อนิกฺสาโว กาสาวํ
โย วตฺถํ
ปริหเหสฺสติ
อเปโต ทมสจฺเจน
น โส กาสาวมหรติฯ
คนกิเลสหนา ปราศจากการบังคับตัวเอง
ไร้สัจจะ ไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์
โย จ วนฺตกสาววสฺส
สีเลน สุสมาหิโต
อุเปโต ทมสจฺเจน
น โส กาสาวมหรติฯ
คนหมดกิเลส มั่นคงในศีล
มีสัจจะ ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุผู้อยู่ในทิศต่างๆเบรรลุเป็นพระโสดาบัน ภิกษุเหล่าอื่นบรรลุโสดาปัตติผลเป็นต้น
พระธรรมเทศนามีประโยชน์แก่มหาชน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น