09. เรื่องพระโสไรยเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ที่พระเชตวัน
ทรงปรารภนายโสไรยะ บุตรของเศรษฐีแห่งเมืองโสไรยะ
ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 43 นี้
ครั้งหนึ่ง นายโสไรยะพร้อมกับเพื่อนคนหนึ่ง
และผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง ได้นั่งรถคันหรูจะไปอาบน้ำกัน
ในขณะนั้นเองพระมหากัจจายนเถระได้มาผลัดผ้าสบงจีวรอยู่ที่นอกเมือง
ขณะที่ท่านกำลังจะเข้าไปบิณฑบาตในตัวเมือง
นายโสไรยะหนุ่มแลเห็นผิวพรรณเหลืองอร่ามดุจทองคำของพระเถระแล้วคิดในทางที่ไม่ดีว่า
“เราอยากให้พระเถระมาเป็นภรรยาของเรา
หรือมิฉะนั้นก็ให้ผิวพรรณของภรรยาของเราเหมือนกับผิวพรรณของพระเถระนี้” ขณะที่ความปรารถนาในทางอกุศลเช่นนี้เกิดขึ้นกับนายโสไรยะ
เพศชายของเขาก็ได้หายไป เพศหญิงเกิดขึ้นมาแทนที่
นายโสไรยะมีความละอายจึงลงจากรถวิ่งหนีไปทางถนนที่จะไปสู่เมืองตักกสิลา
พวกเพื่อนๆที่มาด้วยเห็นเขาหายไป ก็ได้พยายามตามหาแต่ก็ไม่พบ
ข้างนายโสไรยะ ซึ่งตอนนี้กลายเพศมาเป็นหญิงแล้ว
ได้ถอดแหวนที่อยู่ที่นิ้วมือของตนยกให้พวกคนที่กำลังจะเดินทางไปเมืองตักกสิลา
เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่นางจะได้ขอร่วมเดินทางไปกับพวกเขาด้วย พอเดินทางไปถึงเมืองตักกสิลา
พวกเพื่อนร่วมทางได้แนะนำตัวนางโสไรยะให้รู้จักกับบุตรเศรษฐีที่เมืองตักกสิลาคนหนึ่ง
บุตรเศรษฐีเห็นว่านางโสไรยะสะสวยงดงามมากและมีอายุเหมาะสมกับตนจึงได้ขอแต่งงานด้วย เมื่อแต่งงานอยู่กินกันทั้งสองสามีภรรยานี้ก็มีบุตรด้วยกัน
2 คน ส่วนบุตรอีกสองคนของโสไรยะในตอนที่เป็นเพศชายนั้นก็มี
2 คนเท่ากัน
วันหนึ่งบุตรของเศรษฐีที่เมืองโสไรยะผู้หนึ่งได้เดินทางมาที่เมืองตักกสิลาพร้อมด้วยกองคาราวานเกวียน
500 เล่ม
นางโสไรยะจำได้ว่าบุตรเศรษฐีคนนี้ก็คือเพื่อนเก่าของนางในสมัยที่นางเป็นเพศชาย จึงได้ส่งคนไปเชิญเขามาที่บ้าน
บุตรเศรษฐีจากเมืองโสไรยะมีความประหลาดใจที่ได้รับเชิญเพราะว่าเขาไม่เคยรู้จักหญิงที่มาเชิญมาก่อน
เขาได้บอกกับนางโสไรยะว่าเขาไม่รู้จักกับนางมาก่อน
และสอบถามว่านางรู้จักเขามาก่อนหรือไม่
นางโสไรยะตอบว่านางรู้จักเขาและก็ยังได้สอบถามถึงคนในครอบครัวของนางและคนอื่นๆในเมืองโสไรยะด้วย
ชายที่มาจากเมืองโสไรยะจึงได้เล่าเรื่องบุตรชายของเศรษฐีได้หายตัวไปอย่างลึกลับขณะนั่งรถจะไปอาบน้ำ
พอถึงตอนนี้นางโสไรยะก็ได้บอกว่าตนนี่แหละคือบุตรของเศรษฐีคนนั้น
และนางได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ว่านางมีความคิดที่เป็นอกุศลต่อพระมหากัจจายนะทำให้เพศชายหายไปเพศหญิงเกิดขึ้นแทนที่
นางได้เดินทางมาที่เมืองตักกสิลาและได้มาแต่งงานกับบุตรชายเศรษฐีที่เมืองตักกสิลานี้ ชายที่มาจากเมืองโสไรยะได้แนะนำให้นางโสไรยะไปขอโทษพระมหากัจจายนเถระเสีย ต่อมาพระมหากัจจายนเถระก็ได้รับนิมนต์มาฉันภัตตาหารที่บ้านของนางโสไรยะ
หลังจากที่พระเถระฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
นางโสไรยะก็ถูกนำตัวออกมาอยู่เบื้องหน้าของพระเถระ
และชายที่มาจากเมืองโสไรยะได้เรียนพระเถระว่า
นางโสไรยะผู้นี้เมื่อครั้งอดีตคือบุตรชายชองเศรษฐีที่เมืองโสไรยะ เขาได้บรรยายความให้พระเถระฟังต่อไปว่า
ที่นางโสไรยะกลายเพศมาเป็นหญิงนี้ก็เพราะมีอกุศลจิตต่อพระเถระ จากนั้นนางโสไรยะก็ได้กราบขอขมาพระเถระ พระเถระได้กล่าวขึ้นว่า “จงลุกขึ้นเถิด
เราให้อภัยแก่ท่านแล้ว” ทันทีที่คำเหล่านี้ออกมาจากปากของพระเถระ นางโสไรยะก็มีเพศกลับมาเป็นชายดังเดิม นายโสไรยะเมื่อกลับมามีเพศชายได้เช่นนี้
ก็เกิดความแคลงใจว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ในชาติเดียวกันนี้คนๆเดียวจะเปลี่ยนเพศได้
และเป็นไปได้อย่างไรที่เขาสามารถตั้งครรภ์มีบุตรได้ เป็นต้น
เขามีความรู้สึกสงสัยและอยากรู้อยากเห็นในเรื่องเหล่านี้มาก จึงได้ตัดสินใจสละชีวิตฆราวาสออกบวชเป็นพระภิกษุ
โดยมีพระมหากัจจายนเถระเป็นพระอุปัชฌาย์
จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 43
ว่า
น ตํ มาตา ปิตา กยิรา
อญเญ วาปิจ ญาตกา
สมฺมาปณิหิตํ จิตตํ
เสยฺยโส นํ ตโต กเรฯ
มารดา บิดา ก็ทำให้ไม่ได้
ญาติพี่น้องก็ทำให้ไม่ได้
แต่จิตที่ตั้งไว้โดยชอบแล้ว
ทำสิ่งนั้นให้ได้ และทำให้ได้ดีกว่าด้วย.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง คนเป็นอันมากได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย
มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระสัทธรรมเทศนา
มีประโยชน์แก่มหาชน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น